• พระบูชา พิมพ์อื่นๆ พระบูชาพิมพ์อื่นๆ-โชว์

    ช้างพระเจ้าพรหมมหาราช กะไหล่เงิน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    จัดสร้างโดยคุณจีระศักดิ์ พูนผล เพื่อหาทุนทรัพย์ในการจัดสร้างอนุเสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างพลายประกายแก้ว ประจำ ณ วัดท่าซุง โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 9 แสนบาท และหลวงพ่อได้เมตตาเพิ่มเติมด้วยการสั่งให้ปิดทองคำแท้ทั้งองค์อีกเป็นจำนวน 250,000 บาท

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาเททองหล่อเมื่อ วันมาฆบูชา ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ สร้างประมาณ 300องค์เศษ ขนาดฐาน 8 x 4 1/2นิ้ว ฐานสูง 1นิ้ว ความสูงทั้งสิ้น 12นิ้ว ที่ฐานด้านหน้ามีหมายเลขประจำองค์ ส่วนที่ฐานข้างหนึ่งเขียนว่า “เททองโดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วันมาฆบูชาที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ” และอีกข้างหนึ่งเขียนว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช ช้างประกายแก้ว กู้ชาติไทยครั้งแรกสมัยโยนก”

    จัดสร้างด้วยกัน 4เนื้อ คือ
    1) เนื้อชุบกะไหล่ทอง
    2) เนื้อชุบกะไหล่เงิน
    3) เนื้อชุบกะไหล่นาก
    4) เนื้อโลหะรมดำ / เนื้อโลหะไม่รมดำ (ผิวทองแดง)

    ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2527 หลวงพ่อจึงได้ทำพิธีบวงสรวงและเปิดอนุเสาวรีย์องค์พระเจ้าพรหมมหาราช เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2527 และในปัจจุบัน…ทางวัดจะจัดงานฉลองชัยชนะของพระเจ้าพรหมมหาราช ณ อนุเสาวรีย์ เป็นประจำทุกๆปีในวันก่อนหน้าวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน โดยจะมีการบวงสรวงและเวียนเทียนรอบอนุเสาวรีย์ อีกทั้งมีการฟ้อนรำถวายองค์พระเจ้าพรหมมหาราช เพื่อเป็นการระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เล่าถึงอานุภาพไว้ว่า

    :- ช้างถนัดในทางปราบอมิตร พระเจ้าพรหมมหาปราบและมหาเสน่ห์ พระนางปทุมวดี (ยังไม่มีรูปปั้นที่วัด) ถนัดในทางลาภ
    :- ถ้าจะบนช้างต้องเอาเลือดสดทาปาก แต่ท่านให้ใช้อาหาร ที่มีเลือดหมูต้มรวมอยู่ด้วยถวายพระแทน
    :- ส่วนถ้าจะบนพระเจ้าพรหม ให้ใช้ผ้าเหลืองถวายพระ และถ้าบนพระนางปทุมวดี ให้ใช้ดอกไม้ 3สี บูชาพระถวายสังฆทาน

    *******************************************************************

    สำหรับองค์บูชาพระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างประกายแก้ว ในสมัยหลวงพ่อนั้น ท่านตั้งราคาให้ร่วมทำบุญ ดังนี้

    1. เนื้อโลหะชุบทอง ทำบุญองค์ละ 3,000 บาท
    2. เนื้อโลหะชุบนาก ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
    3. เนื้อโลหะชุบเงิน ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
    4. เนื้อโลหะรมดำ ทำบุญองค์ละ 1,500 บาท

    ********************************************

    ประวัติ พระเจ้าพรหม มหาราชองค์แรกของไทย

    หากมีการตั้งคำถามว่า กษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ไทยยกย่องว่าเป็น “มหาราช” องค์แรกของไทย คือ พระองค์ใด หลายคนคงนึกถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บางคนอาจจะนึกถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือบางคนอาจนึกไปได้ไกลถึงพระเจ้ามังรายมหาราช เพราะแต่ละพระองค์ล้วนแต่ครองราชย์ในช่วงหลายร้อยปีก่อนหน้าโน้น และมีพระนามเป็นที่คุ้นหูอย่างดี แต่ความเป็นจริง พระมหากษัตริย์ไทยเราที่ทรงเป็นมหาราชองค์แรก ก็คือ “พระเจ้าพรหมมหาราช” ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานย่ำยีของพวกขอม เมื่อประมาณ ๑,๐๖๔ ปีล่วงมาแล้ว ในสมัยอาณาจักรโยนกหรืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของเวลา แต่ละตำราจะเขียนไว้ไม่เหมือนกัน ในที่นี้จะขอยึดข้อมูลจากหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ซึ่งเอา “ตำนานสิงหนวัติฉบับสอบค้น” มาเป็นหลักอ้างอิง กล่าวคือย้อนไปเมื่อ พ.ศ.๑๔๖๐ ในรัชสมัยของ พระเจ้าพังคะ หรือ พระองค์ฬั่ง กษัตริย์องค์ที่ ๔๓ แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ ได้ถูกพวกขอมขับไล่จากเมืองโยนกพันธุ์ไปอยู่เมืองเวียงสี่ตวง ใกล้แม่น้ำสาย จนกระทั่ง ๔ ปีต่อมา หรือเมื่อ พ.ศ. ๑๔๖๔ มเหสีของพระองค์ไปประสูติโอรสคนที่ ๒ มีการขนานนามว่า “พระเจ้าพรหมกุมาร”

    ในตำนานได้กล่าวถึงประวัติตอนปฐมวัยของ “พระเจ้าพรหมกุมาร” เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อพระองค์มีพระชันษาได้๗ ปี ก็สามารถเล่าเรียนวิชาเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม จนจบครบถ้วนกระบวนความ หรือเมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ ๑๓ ปี ได้ทรงสุบินว่า มีเทพยดามาบอกว่า จะมีช้าง ๓ ตัวล่องน้ำโขงมา และให้เจ้าพรหมกุมารไปล้างหน้าที่นั่น หากจับช้างตัวแรกได้จะมีอานุภาพปราบได้ทั้ง ๔ ทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๒ จะมีอานุภาพได้ชมภูทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๓ จะปราบแว่นแคว้นล้านนาได้
    พอรุ่งเช้า เจ้าพรหมกุมารจึงได้พาบริวารประมาณ ๕๐ คน ไปยังท่าน้ำ ครั้งแรกเห็นงูเหลือมเลื่อมเป็นมันระยับลอยผ่านไปแล้ว ๑ ตัว พอตัวที่ ๒ ก็เป็นงูอีกเหมือนกัน พอตัวที่ ๓ เจ้าพรหมกุมารจึงทรงนึกถึงเรื่องในสุบินนั้นคงเป็นงูนี่เอง จึงพร้อมกับบริวารช่วยกันจับงู เมื่อเจ้าพรหมกุมารสามารถขึ้นขี่ งูก็กลายเป็นช้างไปทันที แต่ไม่ยอมขึ้นฝั่ง จนกระทั่งบริวารต้องเอาพานทองคำตีล่อ ช้างจึงยอมขึ้นจากน้ำ และมีการเรียกชื่อว่า “ช้างพานทองคำ”

    พระเจ้าพรหม ทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสามารถและโปรดในการสงคราม เมื่อสามารถเตรียมกำลังไพร่พลได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ทูลพระบิดาให้เลิกการส่งส่วยแก่ขอม พวกขอมจึงยกทัพขึ้นไปปราบ พระเจ้าพรหมก็คุมกำลังออกต่อสู้และขับไล่พวกขอมจนแตกพ่าย สามารถยึดเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติคืนได้เมื่อ พ.ศ.๑๔๗๙ ในขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้เพียง ๑๖ ปีเท่านั้น

    สำหรับช้างพานทองคำ เมื่อเสร็จสงครามก็ได้หายไปทางดอยลูกหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ดอยช้างงู” แต่ชาวเขาเผ่าอีก้อออกเสียงไม่ชัดเจน เรียกว่า “ดอยสะโง้” และได้เรียกเพี้ยนมาจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนพระเจ้าพรหม เมื่อได้อัญเชิญพระบิดามาครองเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโยนกชัยบุรีแล้ว พระองค์ก็นำทัพไปขับไล่ขอมจนถึงเมืองกำแพงเพชร จนหมดเชื้อชาติขอมในอาณาจักรโยนกแล้วจากนั้นพระองค์ก็ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองอุมงคลเสลาเก่า เมื่อ พ.ศ. ๑๔๘๐ เพื่อเป็นด่านหน้าคอยป้องกันพวกขอมยกทัพกลับมาตีอีก และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น “เมืองไชยปราการ” ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง

    พระองค์ได้ครองเมืองไชยปราการได้ ๕๙ ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๑๕๔๐ ต่อมาได้มีการขนานนามพระองค์ว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช” นับเป็นมหาราชองค์แรกของชาติไทย

    Read more
  • พระบูชา พิมพ์อื่นๆ

    ช้างพระเจ้าพรหมมหาราช เนื้อโลหะรมดำ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    จัดสร้างโดยคุณจีระศักดิ์ พูนผล เพื่อหาทุนทรัพย์ในการจัดสร้างอนุเสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างพลายประกายแก้ว ประจำ ณ วัดท่าซุง โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 9 แสนบาท และหลวงพ่อได้เมตตาเพิ่มเติมด้วยการสั่งให้ปิดทองคำแท้ทั้งองค์อีกเป็นจำนวน 250,000 บาท

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาเททองหล่อเมื่อ วันมาฆบูชา ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ สร้างประมาณ 300องค์เศษ ขนาดฐาน 8 x 4 1/2นิ้ว ฐานสูง 1นิ้ว ความสูงทั้งสิ้น 12นิ้ว ที่ฐานด้านหน้ามีหมายเลขประจำองค์ ส่วนที่ฐานข้างหนึ่งเขียนว่า “เททองโดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วันมาฆบูชาที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ” และอีกข้างหนึ่งเขียนว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช ช้างประกายแก้ว กู้ชาติไทยครั้งแรกสมัยโยนก”

    จัดสร้างด้วยกัน 4เนื้อ คือ
    1) เนื้อชุบกะไหล่ทอง
    2) เนื้อชุบกะไหล่เงิน
    3) เนื้อชุบกะไหล่นาก
    4) เนื้อโลหะรมดำ / เนื้อโลหะไม่รมดำ (ผิวทองแดง)

    ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2527 หลวงพ่อจึงได้ทำพิธีบวงสรวงและเปิดอนุเสาวรีย์องค์พระเจ้าพรหมมหาราช เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2527 และในปัจจุบัน…ทางวัดจะจัดงานฉลองชัยชนะของพระเจ้าพรหมมหาราช ณ อนุเสาวรีย์ เป็นประจำทุกๆปีในวันก่อนหน้าวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน โดยจะมีการบวงสรวงและเวียนเทียนรอบอนุเสาวรีย์ อีกทั้งมีการฟ้อนรำถวายองค์พระเจ้าพรหมมหาราช เพื่อเป็นการระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เล่าถึงอานุภาพไว้ว่า

    :- ช้างถนัดในทางปราบอมิตร พระเจ้าพรหมมหาปราบและมหาเสน่ห์ พระนางปทุมวดี (ยังไม่มีรูปปั้นที่วัด) ถนัดในทางลาภ
    :- ถ้าจะบนช้างต้องเอาเลือดสดทาปาก แต่ท่านให้ใช้อาหาร ที่มีเลือดหมูต้มรวมอยู่ด้วยถวายพระแทน
    :- ส่วนถ้าจะบนพระเจ้าพรหม ให้ใช้ผ้าเหลืองถวายพระ และถ้าบนพระนางปทุมวดี ให้ใช้ดอกไม้ 3สี บูชาพระถวายสังฆทาน

    **********************************************************************

    สำหรับองค์บูชาพระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างประกายแก้ว ในสมัยหลวงพ่อนั้น ท่านตั้งราคาให้ร่วมทำบุญ ดังนี้

    1. เนื้อโลหะชุบทอง ทำบุญองค์ละ 3,000 บาท
    2. เนื้อโลหะชุบนาก ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
    3. เนื้อโลหะชุบเงิน ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
    4. เนื้อโลหะรมดำ ทำบุญองค์ละ 1,500 บาท

    *********************************************************************

    ประวัติ พระเจ้าพรหม มหาราชองค์แรกของไทย

    หากมีการตั้งคำถามว่า กษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ไทยยกย่องว่าเป็น “มหาราช” องค์แรกของไทย คือ พระองค์ใด หลายคนคงนึกถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บางคนอาจจะนึกถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือบางคนอาจนึกไปได้ไกลถึงพระเจ้ามังรายมหาราช เพราะแต่ละพระองค์ล้วนแต่ครองราชย์ในช่วงหลายร้อยปีก่อนหน้าโน้น และมีพระนามเป็นที่คุ้นหูอย่างดี แต่ความเป็นจริง พระมหากษัตริย์ไทยเราที่ทรงเป็นมหาราชองค์แรก ก็คือ “พระเจ้าพรหมมหาราช” ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานย่ำยีของพวกขอม เมื่อประมาณ ๑,๐๖๔ ปีล่วงมาแล้ว ในสมัยอาณาจักรโยนกหรืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของเวลา แต่ละตำราจะเขียนไว้ไม่เหมือนกัน ในที่นี้จะขอยึดข้อมูลจากหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ซึ่งเอา “ตำนานสิงหนวัติฉบับสอบค้น” มาเป็นหลักอ้างอิง กล่าวคือย้อนไปเมื่อ พ.ศ.๑๔๖๐ ในรัชสมัยของ พระเจ้าพังคะ หรือ พระองค์ฬั่ง กษัตริย์องค์ที่ ๔๓ แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ ได้ถูกพวกขอมขับไล่จากเมืองโยนกพันธุ์ไปอยู่เมืองเวียงสี่ตวง ใกล้แม่น้ำสาย จนกระทั่ง ๔ ปีต่อมา หรือเมื่อ พ.ศ. ๑๔๖๔ มเหสีของพระองค์ไปประสูติโอรสคนที่ ๒ มีการขนานนามว่า “พระเจ้าพรหมกุมาร”

    ในตำนานได้กล่าวถึงประวัติตอนปฐมวัยของ “พระเจ้าพรหมกุมาร” เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อพระองค์มีพระชันษาได้๗ ปี ก็สามารถเล่าเรียนวิชาเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม จนจบครบถ้วนกระบวนความ หรือเมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ ๑๓ ปี ได้ทรงสุบินว่า มีเทพยดามาบอกว่า จะมีช้าง ๓ ตัวล่องน้ำโขงมา และให้เจ้าพรหมกุมารไปล้างหน้าที่นั่น หากจับช้างตัวแรกได้จะมีอานุภาพปราบได้ทั้ง ๔ ทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๒ จะมีอานุภาพได้ชมภูทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๓ จะปราบแว่นแคว้นล้านนาได้
    พอรุ่งเช้า เจ้าพรหมกุมารจึงได้พาบริวารประมาณ ๕๐ คน ไปยังท่าน้ำ ครั้งแรกเห็นงูเหลือมเลื่อมเป็นมันระยับลอยผ่านไปแล้ว ๑ ตัว พอตัวที่ ๒ ก็เป็นงูอีกเหมือนกัน พอตัวที่ ๓ เจ้าพรหมกุมารจึงทรงนึกถึงเรื่องในสุบินนั้นคงเป็นงูนี่เอง จึงพร้อมกับบริวารช่วยกันจับงู เมื่อเจ้าพรหมกุมารสามารถขึ้นขี่ งูก็กลายเป็นช้างไปทันที แต่ไม่ยอมขึ้นฝั่ง จนกระทั่งบริวารต้องเอาพานทองคำตีล่อ ช้างจึงยอมขึ้นจากน้ำ และมีการเรียกชื่อว่า “ช้างพานทองคำ”

    พระเจ้าพรหม ทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสามารถและโปรดในการสงคราม เมื่อสามารถเตรียมกำลังไพร่พลได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ทูลพระบิดาให้เลิกการส่งส่วยแก่ขอม พวกขอมจึงยกทัพขึ้นไปปราบ พระเจ้าพรหมก็คุมกำลังออกต่อสู้และขับไล่พวกขอมจนแตกพ่าย สามารถยึดเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติคืนได้เมื่อ พ.ศ.๑๔๗๙ ในขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้เพียง ๑๖ ปีเท่านั้น

    สำหรับช้างพานทองคำ เมื่อเสร็จสงครามก็ได้หายไปทางดอยลูกหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ดอยช้างงู” แต่ชาวเขาเผ่าอีก้อออกเสียงไม่ชัดเจน เรียกว่า “ดอยสะโง้” และได้เรียกเพี้ยนมาจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนพระเจ้าพรหม เมื่อได้อัญเชิญพระบิดามาครองเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโยนกชัยบุรีแล้ว พระองค์ก็นำทัพไปขับไล่ขอมจนถึงเมืองกำแพงเพชร จนหมดเชื้อชาติขอมในอาณาจักรโยนกแล้วจากนั้นพระองค์ก็ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองอุมงคลเสลาเก่า เมื่อ พ.ศ. ๑๔๘๐ เพื่อเป็นด่านหน้าคอยป้องกันพวกขอมยกทัพกลับมาตีอีก และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น “เมืองไชยปราการ” ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง

    พระองค์ได้ครองเมืองไชยปราการได้ ๕๙ ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๑๕๔๐ ต่อมาได้มีการขนานนามพระองค์ว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช” นับเป็นมหาราชองค์แรกของชาติไทย

    Read more
  • พระบูชา พิมพ์อื่นๆ

    ช้างพระเจ้าพรหมมหาราช เนื้อโลหะไม่รมดำ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    จัดสร้างโดยคุณจีระศักดิ์ พูนผล เพื่อหาทุนทรัพย์ในการจัดสร้างอนุเสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างพลายประกายแก้ว ประจำ ณ วัดท่าซุง โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 9 แสนบาท และหลวงพ่อได้เมตตาเพิ่มเติมด้วยการสั่งให้ปิดทองคำแท้ทั้งองค์อีกเป็นจำนวน 250,000 บาท

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาเททองหล่อเมื่อ วันมาฆบูชา ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ สร้างประมาณ 300องค์เศษ ขนาดฐาน 8 x 4 1/2นิ้ว ฐานสูง 1นิ้ว ความสูงทั้งสิ้น 12นิ้ว ที่ฐานด้านหน้ามีหมายเลขประจำองค์ ส่วนที่ฐานข้างหนึ่งเขียนว่า “เททองโดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วันมาฆบูชาที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ” และอีกข้างหนึ่งเขียนว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช ช้างประกายแก้ว กู้ชาติไทยครั้งแรกสมัยโยนก”

    จัดสร้างด้วยกัน 4เนื้อ คือ
    1) เนื้อชุบกะไหล่ทอง
    2) เนื้อชุบกะไหล่เงิน
    3) เนื้อชุบกะไหล่นาก
    4) เนื้อโลหะรมดำ / เนื้อโลหะไม่รมดำ (ผิวทองแดง)

    ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2527 หลวงพ่อจึงได้ทำพิธีบวงสรวงและเปิดอนุเสาวรีย์องค์พระเจ้าพรหมมหาราช เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2527 และในปัจจุบัน…ทางวัดจะจัดงานฉลองชัยชนะของพระเจ้าพรหมมหาราช ณ อนุเสาวรีย์ เป็นประจำทุกๆปีในวันก่อนหน้าวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน โดยจะมีการบวงสรวงและเวียนเทียนรอบอนุเสาวรีย์ อีกทั้งมีการฟ้อนรำถวายองค์พระเจ้าพรหมมหาราช เพื่อเป็นการระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เล่าถึงอานุภาพไว้ว่า

    :- ช้างถนัดในทางปราบอมิตร พระเจ้าพรหมมหาปราบและมหาเสน่ห์ พระนางปทุมวดี (ยังไม่มีรูปปั้นที่วัด) ถนัดในทางลาภ
    :- ถ้าจะบนช้างต้องเอาเลือดสดทาปาก แต่ท่านให้ใช้อาหาร ที่มีเลือดหมูต้มรวมอยู่ด้วยถวายพระแทน
    :- ส่วนถ้าจะบนพระเจ้าพรหม ให้ใช้ผ้าเหลืองถวายพระ และถ้าบนพระนางปทุมวดี ให้ใช้ดอกไม้ 3สี บูชาพระถวายสังฆทาน

    *************************************************

    สำหรับองค์บูชาพระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างประกายแก้ว ในสมัยหลวงพ่อนั้น ท่านตั้งราคาให้ร่วมทำบุญ ดังนี้

    1. เนื้อโลหะชุบทอง ทำบุญองค์ละ 3,000 บาท
    2. เนื้อโลหะชุบนาก ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
    3. เนื้อโลหะชุบเงิน ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
    4. เนื้อโลหะรมดำ ทำบุญองค์ละ 1,500 บาท

    ************************************************************

    ประวัติ พระเจ้าพรหม มหาราชองค์แรกของไทย

    หากมีการตั้งคำถามว่า กษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ไทยยกย่องว่าเป็น “มหาราช” องค์แรกของไทย คือ พระองค์ใด หลายคนคงนึกถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บางคนอาจจะนึกถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือบางคนอาจนึกไปได้ไกลถึงพระเจ้ามังรายมหาราช เพราะแต่ละพระองค์ล้วนแต่ครองราชย์ในช่วงหลายร้อยปีก่อนหน้าโน้น และมีพระนามเป็นที่คุ้นหูอย่างดี แต่ความเป็นจริง พระมหากษัตริย์ไทยเราที่ทรงเป็นมหาราชองค์แรก ก็คือ “พระเจ้าพรหมมหาราช” ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานย่ำยีของพวกขอม เมื่อประมาณ ๑,๐๖๔ ปีล่วงมาแล้ว ในสมัยอาณาจักรโยนกหรืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของเวลา แต่ละตำราจะเขียนไว้ไม่เหมือนกัน ในที่นี้จะขอยึดข้อมูลจากหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ซึ่งเอา “ตำนานสิงหนวัติฉบับสอบค้น” มาเป็นหลักอ้างอิง กล่าวคือย้อนไปเมื่อ พ.ศ.๑๔๖๐ ในรัชสมัยของ พระเจ้าพังคะ หรือ พระองค์ฬั่ง กษัตริย์องค์ที่ ๔๓ แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ ได้ถูกพวกขอมขับไล่จากเมืองโยนกพันธุ์ไปอยู่เมืองเวียงสี่ตวง ใกล้แม่น้ำสาย จนกระทั่ง ๔ ปีต่อมา หรือเมื่อ พ.ศ. ๑๔๖๔ มเหสีของพระองค์ไปประสูติโอรสคนที่ ๒ มีการขนานนามว่า “พระเจ้าพรหมกุมาร”

    ในตำนานได้กล่าวถึงประวัติตอนปฐมวัยของ “พระเจ้าพรหมกุมาร” เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อพระองค์มีพระชันษาได้๗ ปี ก็สามารถเล่าเรียนวิชาเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม จนจบครบถ้วนกระบวนความ หรือเมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ ๑๓ ปี ได้ทรงสุบินว่า มีเทพยดามาบอกว่า จะมีช้าง ๓ ตัวล่องน้ำโขงมา และให้เจ้าพรหมกุมารไปล้างหน้าที่นั่น หากจับช้างตัวแรกได้จะมีอานุภาพปราบได้ทั้ง ๔ ทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๒ จะมีอานุภาพได้ชมภูทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๓ จะปราบแว่นแคว้นล้านนาได้
    พอรุ่งเช้า เจ้าพรหมกุมารจึงได้พาบริวารประมาณ ๕๐ คน ไปยังท่าน้ำ ครั้งแรกเห็นงูเหลือมเลื่อมเป็นมันระยับลอยผ่านไปแล้ว ๑ ตัว พอตัวที่ ๒ ก็เป็นงูอีกเหมือนกัน พอตัวที่ ๓ เจ้าพรหมกุมารจึงทรงนึกถึงเรื่องในสุบินนั้นคงเป็นงูนี่เอง จึงพร้อมกับบริวารช่วยกันจับงู เมื่อเจ้าพรหมกุมารสามารถขึ้นขี่ งูก็กลายเป็นช้างไปทันที แต่ไม่ยอมขึ้นฝั่ง จนกระทั่งบริวารต้องเอาพานทองคำตีล่อ ช้างจึงยอมขึ้นจากน้ำ และมีการเรียกชื่อว่า “ช้างพานทองคำ”

    พระเจ้าพรหม ทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสามารถและโปรดในการสงคราม เมื่อสามารถเตรียมกำลังไพร่พลได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ทูลพระบิดาให้เลิกการส่งส่วยแก่ขอม พวกขอมจึงยกทัพขึ้นไปปราบ พระเจ้าพรหมก็คุมกำลังออกต่อสู้และขับไล่พวกขอมจนแตกพ่าย สามารถยึดเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติคืนได้เมื่อ พ.ศ.๑๔๗๙ ในขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้เพียง ๑๖ ปีเท่านั้น

    สำหรับช้างพานทองคำ เมื่อเสร็จสงครามก็ได้หายไปทางดอยลูกหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ดอยช้างงู” แต่ชาวเขาเผ่าอีก้อออกเสียงไม่ชัดเจน เรียกว่า “ดอยสะโง้” และได้เรียกเพี้ยนมาจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนพระเจ้าพรหม เมื่อได้อัญเชิญพระบิดามาครองเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโยนกชัยบุรีแล้ว พระองค์ก็นำทัพไปขับไล่ขอมจนถึงเมืองกำแพงเพชร จนหมดเชื้อชาติขอมในอาณาจักรโยนกแล้วจากนั้นพระองค์ก็ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองอุมงคลเสลาเก่า เมื่อ พ.ศ. ๑๔๘๐ เพื่อเป็นด่านหน้าคอยป้องกันพวกขอมยกทัพกลับมาตีอีก และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น “เมืองไชยปราการ” ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง

    พระองค์ได้ครองเมืองไชยปราการได้ ๕๙ ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๑๕๔๐ ต่อมาได้มีการขนานนามพระองค์ว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช” นับเป็นมหาราชองค์แรกของชาติไทย

    Read more
  • ๔. เครื่องราง เครื่องรางอื่นๆ เครื่องรางอื่นๆ-โชว์

    ชานหมากชาตรี (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ประวัติชานหมากชาตรี

    จากเนื้อหาส่วนหนึ่งในหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่มที่ 11 หน้า 81 มีเนื้อความประมาณว่ามีลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ท่านได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า ชานหมากที่หลวงพ่อท่านคายไว้ที่ท่าลานนั้นกลายเป็นพระธาตุ แล้วจึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมจึงเกิดเป็นพระธาตุได้ ทั้งๆที่หลวงพ่อท่านยังทรงขันธ์อยู่ ปรกติต้องรอมรณะภาพเสียก่อน ถึงจะเกิดเป็นพระธาตุภายหลัง พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจึงได้เมตตาตอบข้อสงสัยว่า… อำนาจ พุทธานุภาพ ท่านสงเคราะห์ คือมันเป็นเรื่องแปลก ตอนฉันจะลุกกลับ ตามธรรรมดาฉันไม่เคยคายชานหมาก วันนั้นเคี้ยวๆเลยคาย มีเด็กหนุ่มๆ 3คน และเด็กสาวๆ 2คนอายุประมาณ 20กว่าๆมากราบ บอกหลวงพ่อครับ ของที่เป็นมงคลนี้ ผมขอนะครับ…บอกเอาไปเถอะลูก เท่านั้นแหล่ะ แล้วแกก็เอาไป และก็มีพระธาตุขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้…

    และหลวงพ่อท่านก็ตอบต่อว่า ชานหมากที่เป็นพระธาตุนั้น ค่อยๆเป็นทีละน้อยๆ ขึ้นมาและจนกระทั่งเดี๋ยวนี้เป็นหมดแล้ว….

    เรื่องถัดมา มีลูกศิษย์อีกท่านหนึ่งได้กราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า ชานหมากที่หลวงพ่อเมตตาให้ ที่วัดเขาไผ่ จังหวัดระยอง ลูกศิษย์ท่านนี้นำไปบูชาเพียง 1วันก็กลายเป็นพระธาตุ อีก 1องค์ หลวงพ่อท่านกล่าวชมและบอกต่อว่า ความจริงน่าจะได้มากกว่านั้น…. และท่านได้กล่าวต่อไปว่า การที่ชานหมากจะกลายเป็นพระธาตุช้าหรือเร็วนั้น เกี่ยวกับการบูชาตามกำลังใจ อยู่ที่กำลังใจนะ….

    คราวนี้มาถึงการแจกชานหมากของหลวงพ่อที่สายลมบ้าง หลวงพ่อท่านเล่าว่า…เมื่อเช้านี้ที่ปทุมธานีตอนเช้าตรู่ หลวงพ่อปานท่านมาบอกว่าให้ขอสมเด็จองค์ปฐมว่า ชานหมากนี่ขอเป็น ชาตรี นำหน้า สมเด็จองค์ปฐมท่านมาบอก เมื่อขณะหมอให้น้ำเกลือท่านบอก ความจริงฉันก็ซุกทุกอย่างแล้วนะ คราวนี้ขอนำหน้าก็ขอให้อยู่หน้า ฉะนั้นอย่างพระหางหมากนี่ ท่านก็ซุกไว้แล้วใช่ไหม และมีเรื่องของคนที่อยู่ที่พิษณุโลกขับรถปิคอัพชนรถ 10 ล้อ ก็ปรากฎว่าแคล้วคลาดปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ แม้แต่รอยถลอกครับ

    ส่วนอีกท่านหนึ่ง ท่านป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับการปวดขา ตอนแรกท่านอาราธนามาทำน้ำมนต์ก็กลัวจะหายช้าก็เลยจัดการ เคี้ยวชานหมากหลวงพ่อหมดทั้งเม็ดเลย ปรากฎว่าเห็นผลทันตาสามารถเข้าส้วมงอขาได้ ขางอได้และเจ็บเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง…. และหลวงพ่อท่านได้กล่าวอีกว่า ชานหมากชาตรีนี้…จะเป็นเรื่องลาภก็ได้ รักษาโรคก็ได้ ป้องกันก็ได้ ถ้าเก็บไว้ให้ดีในที่ใสๆ ต่อไปอาจจะเป็นพระธาตุ (อันนี้เป็นอย่างเบา) ถ้าเต็มที่จะกลายเป็นพระธาตุแก้ว

    ผู้ถามจึงเรียนถามหลวงพ่อว่า ชานหมากคราวนี้จึงมีผลสมบูรณ์แบบ
    หลวงพ่อท่านตอบว่า ใช่ๆ ท่านทำแรงมาก ไม่เคยทำไว้เลย

    และถ้ากลัวว่ากินเพื่อรักษาโรคจนหมดก็จะเสียดายกัน ท่านจึงตอบว่า ให้เอาพลาสติกห่อซะ แล้วก็แช่ทำน้ำมนต์ ถ้าทางที่ดีนะหุ้มพลาสติกห้อยคอหน่ะดีมาก ใส่ไว้นะจะมีประโยชน์ ประโยชน์หลายอย่าง….

    ===== สำหรับชานหมาก หลวงพ่อได้เคยปลุกเสกเอาไว้ทั้งหมด 4 ครั้ง =====

    ครั้งที่1 เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2534 ที่บ้านคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ จังหวัดจันทบุรี (ในส่วน ” หลวงพ่อตอบปัญหา ” บอกเป็นวันที่ 21 ใน ” ข่าวศูนย์ ” ระบุวันที่ 20)

    ครั้งที่2 เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กรกฏาคม 2534 ที่บ้านซอยสายลม

    ครั้งที่3 เมื่อวันอาสาฬหบูชา (วันศุกร์) 26 กรกฏาคม 2534 ปลุกเสกพร้อมกับน้ำมันชาตรี มีดหมอชาตรี น้ำมนต์ชาตรี พระปัจเจกพระพุทธเจ้าขนาดบูชา 5 นิ้วและวัตถุมงคลอย่างอื่นๆ

    ครั้งที่4 เมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2534 ที่บ้านซอยสายลม

    Read more
  • ๗. ศึกษา - แบ่งปัน สิ่งมงคล สิ่งมงคล-โชว์

    ชิ้นส่วนเล็บ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ชิ้นส่วนเล็บของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้รับจากผู้ปรนนิบัติใกล้ชิดหลวงพ่อ ถือเป็นสิ่งมงคลอย่างยิ่ง _/|\_

    Read more
  • เครื่องรางอื่นๆ

    ด้าย 7สี (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ด้าย 7สี สิ่งมงคลอีกหนึ่งอย่างที่หลวงพ่อทำไว้ให้

    Read more
  • ตะกรุด ตะกรุด-โชว์

    ตะกรุดหนังควายพอกครั่ง ครูบาชุ่ม วัดวังมุย (เชือกเหลือง รุ่นแจกศิษย์วัดท่าซุง ปี2518)

    ครูบาชุ่ม  หลังจากที่ได้ศึกษา  วิชาการทำตะกรุดหนังฯ มาแล้ว  ท่านยังไม่ได้ทำตะกรุด เพราะว่ายังไม่พบหนังลูกควายตายพรายตามตำรา   จนมาเมื่อปี 248 กว่า  และปี 2510 ,  2518 ,  2519   ท่านจึงได้สร้างตะกรุดหนังฯขึ้นมา เพราะได้หนังลูกควายตายพรายตามตำรามา (ได้หนังฯมา 4 ครั้ง แต่ละครั้ง ได้หนังมาประมาณ ฟุตกว่า ๆ เพราะเป็นหนังลูกควายที่ตายขณะอยู่ในท้อง ตัวจะไม่โต และในปี 2519 ได้หนังลูกควายตายพรายมีลักษณะ 8ขา 4เขาและเป็นควายเผือกมา) รวมทำทั้งหมดไม่เกิน 400 ดอก

    ตะกรุดที่ท่านสร้าง จะมีอยู่ 2ลักษณะ คือ แบบปิดทอง (สร้างในยุคต้น ร้อยเชือกสีแดง) และ แบบทาทอง (ทำในยุค 2518 – 2519 เพราะมีสีทองจากการบูรณะวิหารอยู่)

    วิธีการสร้างตะกรุด ก็คือ.
    เมื่อได้หนังลูกควายตามตำราแล้ว ต้องมีการพลีเพื่อขอศพลูกควายจากศพแม่ก่อน (ตำราต้นฉบับกล่าวไว้) แล้วนำหนังมาฟอกล้างให้สะอาดแล้วนำมาผึ่งให้แห้ง จากนั้นนำหนังมาวัดกะจำนวนปริมาณของดอกตะกรุด ว่าจะได้สักกี่ดอก แล้วตัดหนัง เมื่อตัดแล้วก็ลงอักขระที่หนังแต่ละดอกว่า…

    “ พุทธังอัด ธัมมังอัด สังฆังอัด อุดธังอัดโธอัด ฆะขาขาขาขา ฆะพะสะจะ กะพะวะกะหะ”

    พุทธังอัด ธัมมังอัด สังฆังอัด อุดธังอัดโธอัด (คาถามหาอุด หยุดปืน ปืนแตก)

    ฆะขาขาขาขา (ข่าม เหนียว กันงูเงี้ยว เขี้ยวขอ กันเขา กันปืน กันมีด)

    ฆะพะสะจะ (หัวใจข่าม คงกระพัน สารพัดกัน)

    กะพะวะกะหะ (แคล้วคลาด ปลอดภัย กันสิ่งไม่ดี)

    จากนั้นนำทองแดงมาเป็นแกนกลางเพื่อจะได้พันหนังได้ง่ายไม่เสียรูปทรง เสร็จแล้วนำ เชือกมาพันให้แน่นกับทองแดง แล้วนำครั่งมาพอกไว้ เพื่อทำเป็นรูปทรงเดียวกัน (แบบลูกหนำเลี๊ยบ) แล้วนำเชือกสีแดงหรือเหลืองมาร้อยไว้ เป็นอันเสร็จ ถือเป็นสุดยอดเครื่องรางของขลังอันดับต้นๆของล้านนา เด่นด้านมหาอุด และคงกระพันชาตรี

    ในปี2518 ครูบาชุ่ม ท่านได้นำตะกรุดมาร่วมบุญถวายให้กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เนื่องในวาระ ครบรอบ๑๐๐ปีเกิดหลวงปู่ปาน ในวงการจึงเรียกกันว่า “รุ่นแจกศิษย์วัดท่าซุง ปี2518”

    Read more
  • ตะกรุด ตะกรุด-โชว์

    ตะกรุดเดินป่า (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ตะกรุดหลวงพ่อปาน หรือที่เราเรียกกันทั่วๆไปว่า “ตะกรุดเดินป่า” พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาทำแจกลูกหลานครั้นเมื่อท่านมาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว เป็นตะกรุดทองแดง ใช้สำหรับคล้องคอหรือคาดเอว

    พุทธคุณด่น เมื่อเวลาเดินป่าจะไม่หลงทาง และป้องกันภยันตรายต่างๆ แคล้วคลาดปลอดภัย

    Read more
  • ตะกรุด ตะกรุด-โชว์

    ตะกรุดใต้น้ำ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ตะกรุดใต้น้ำ

    เมื่อราวๆปี 2514-2518 ในช่วงนั้นโบสถ์ใหม่ยังไม่ได้สร้าง ต้องใช้แพโบสถ์น้ำในการทำสังฆกรรม ตำแหน่งของแพโบสถ์น้ำก็ประมาณแพปลาในแม่น้ำสะแกกรังหน้าวัดในปัจจุบัน มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อเดินถือแผ่นทองแดงปึกหนึ่ง ประมาณ 10แผ่น เดินไปแพโบสถ์น้ำ แล้วหลวงพ่อท่านก็เดินลงไปในน้ำ ขณะที่ท่านเดินลงไปก็เหมือนมีขั้นบันไดรับเท้าหลวงพ่อลงไปทีละขั้นจนมิดศรีษะหายไป ศิษย์ใกล้ชิดที่ติดตามมาด้วยก็ยืนรออยู่ที่ริมฝั่ง แต่พอเวลาผ่านไปเกินกว่าครึ่งชั่วโมง หลวงพ่อยังไม่ขึ้นมา ศิษย์ท่านนี้ก็เตรียมจะถอดเสื้อตามลงไป ก็พอดีกับหลวงพ่อเดินขึ้นมา การเดินก็เหมือนกับการเดินขึ้นบันไดมาทีละขั้น เมื่อขึ้นมาจีวรหลวงพ่อไม่เปียกน้ำ ส่วนตะกรุดม้วนเสร็จสรรพเรียบร้อย หลวงพ่อก็เดินถือกำขึ้นมาแล้วกลับกุฏิ ตะกรุดชุดนี้หลวงพ่อท่านทำแจกญาติโยมที่อุปัฏฐากวัดในขณะนั้น ถือเป็นสุดยอดตะกรุดในตำนานที่หลวงพ่อสร้างไว้

    ปล. ตะกรุดดอกนี้เจ้าของเดิมเป็นโยมอุปัฏฐากที่คอยปฎิบัติรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ถือเป็นวาสนาของผมจริงๆที่มีโอกาสได้ครอบครองหนึ่งในตำนานตะกรุดใต้น้ำที่หลวงพ่อสร้างไว้

    Read more
  • แหวน - ลูกแก้ว - แก้วมณีรัตนะ

    ตุ้มหูเพชรจักรพรรดิ์ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    นำเพชรจักรพรรดิ์ เพชรรุ่นแรกจากเขาพระงาม นำมาเลี่ยมทองทำตุ้มหูเอง

    ไม่ว่าจะเป็นเพชรจักรพรรดิ์ หรือลูกแก้วทั้งหมดทุกแบบทุกรุ่น หลวงพ่อท่านพุทธาภิเษกโดยใช้ลูกแก้วจักรพรรดิ์องค์จริงเป็นประธาน พระท่านบอกกับหลวงพ่อท่านว่า ผลจะได้ถึง 99%ของลูกแก้วองค์จริง

    อธิษฐานว่า “ขอความปราถนาทุกอย่างของข้าพเจ้าจงสำเร็จทุกประการ”

    Read more
  • พระบูชา พิมพ์อื่นๆ พระบูชาพิมพ์อื่นๆ-โชว์

    ท่านแม่จามเทวี (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ท่านแม่จามเทวี รุ่นนี้เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วิหารแก้ว ๑๐๐เมตร เมื่อวันที่ 8 ก.พ.35 (ภาพประกอบจาก VDO ที่บันทึกไว้ในงานพิธีพุทธาภิเษก) ถือเป็นพระบูชาของหลวงพ่อที่ไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก

    Read more
  • เครื่องรางอื่นๆ

    น้ำมนต์ชาตรี ปี๓๔ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    น้ำมนต์ชาตรี ขวดนี้ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อ เมื่อปี34 บรรจุอยู่ในขวดเดิมๆ มีสติกเกอร์รูปหลวงพ่อติดข้างขวด ใช้ดื่มหรือใช้อาบ รักษาโรคภัยไข้เจ็บ สะเดาะเคราะห์ร้ายดีนักแล

    Read more
  • ๔. เครื่องราง เครื่องรางอื่นๆ เครื่องรางอื่นๆ-โชว์

    น้ำมันชาตรี หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    สรรพคุณแก้ทุกโรค รักษาทุกอย่าง แถมคงกะพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย สุดแล้วแต่จะอธิฐาน พุทธคุณครอบจักรวาล

    วิธีอาราธนาและวิธีใช้

    ก่อนใช้ ขอให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง เป็นที่สุด เมื่ออาราธนาแล้ว ให้ตั้งนะโม 3 จบ และว่าต่อเหมือนตอนรับศีล…

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    จากนั้นให้ปลุกด้วยคาถานี้ “อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิด”

    พุทธคุณ : ใช้รักษาโรคได้ทุกอย่าง รับประทานหรือทาก็ได้ สุดแท้แต่โรคนั้นควรรับประทานหรือทา (เหมือนน้ำมันหลวงพ่อปาน) แต่เพิ่มคงกะพันชาตรี ป้องกันแคล้วคลาดเป็นพิเศษด้วย

    ข้อสังเกต จะเป็นโรคอะไรก็ตาม เมื่อรับประทานหรือทา แล้วรู้สึกร้อน แสดงว่าน้ำมันนี้รักษาโรคนั้นไม่หาย ถ้ารับประทานหรือทาแล้วรู้สึกเย็น น้ำมันนี้รักษาโรคนั้นหาย

    การรับประทาน รับประทานวันละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1 ช้อนชา-กาแฟ

    ถ้าให้เป็นมงคล ให้ใช้ก้านธูปหรืออะไรก็ได้ จุ่มในน้ำมัน แล้วแตะที่ศีรษะวันละ 1 ครั้ง จะเป็นมงคลทุกอย่างแก่ท่าน ถ้ามียวดยานพาหนะ ให้ทายวดยานพาหนะนั้น (ทาเพียงครั้งเดียว เหมือนที่เขาเจิมกัน)

    น้ำมันนี้เมื่อท่านได้รับแล้ว จงอย่าปล่อยให้หมด หาน้ำมันงามาเติมไว้เสมอๆ เมื่อมันมันนี้ถูกเติมแล้วคุณภาพจะไม่เสื่อม

    ทางวัดมีให้บูชา ขวดละ 100บาท

    Read more
  • เครื่องรางอื่นๆ

    น้ำมันหลวงพ่อปาน (น้ำมันสังคโลก) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    หลังจากที่หลวงพ่อได้ออกจากวัดบางนมโคมาอยู่ที่วัดท่าซุง ท่านมีโอกาสได้กลับไปวัดบางนมโคอีกเพียงแค่ครั้งเดียวในปี2529 และในครั้งนั้นหลวงพ่อได้เข้าไปในกุฎิหลวงพ่อปานและได้พบน้ำมันสังคโลกของหลวงปู่ปานเหลือติดก้นขวดอยู่นิดนึงวางไว้อยู่ ท่านเลยไปขอกับเจ้าอาวาส (พระครูวิหารกิจจานุยุต) นำกลับมาวัดท่าซุงเพื่อเป็นหัวเชื้อในการทำน้ำมันหลวงพ่อปานต่อๆมาจนถึงในปัจจุบันนี้

    วิธีอาราธนาและวิธีใช้

    ก่อนใช้ ขอให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง เป็นที่สุด เมื่ออาราธนาแล้ว ให้ตั้งนะโม 3 จบ และว่าต่อเหมือนตอนรับศีล…

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    จากนั้นให้ปลุกด้วยคาถานี้ “อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิด”

    พุทธคุณ : ใช้รักษาโรคได้ทุกอย่าง รับประทานหรือทาก็ได้ สุดแท้แต่โรคนั้นควรรับประทานหรือทา

    ข้อสังเกต จะเป็นโรคอะไรก็ตาม เมื่อรับประทานหรือทา แล้วรู้สึกร้อน แสดงว่าน้ำมันนี้รักษาโรคนั้นไม่หาย ถ้ารับประทานหรือทาแล้วรู้สึกเย็น น้ำมันนี้รักษาโรคนั้นหาย

    การรับประทาน รับประทานวันละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1 ช้อนชา-กาแฟ

    น้ำมันนี้เมื่อท่านได้รับแล้ว จงอย่าปล่อยให้หมด หาน้ำมันมะพร้าวมาเติมไว้เสมอๆ เมื่อมันมันนี้ถูกเติมแล้วคุณภาพจะไม่เสื่อม

    ทางวัดมีให้บูชา ขวดละ 100บาท

    Read more
  • เหรียญ

    บล็อคขอบจุด__เหรียญท้าวเวสสุวัณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    บล็อคนี้ที่ขอบเหรียญด้านซ้ายใกล้เลข๕ จะมีจุดบุ๋มอยู่นิดนึง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก “บล็อคขอบจุด” บริเวณด้านหน้าจะมีเส้นขนแมวบางๆคล้ายสายฝน จากคำว่ามหาวีระ ทอดมายังศรีษะด้านขวาของหลวงพ่อ และตรงบริเวณจมูกด้านขวาของหลวงพ่อ จะมีรอยอยู่ทุกเหรียญ ซึ่งจะน้อยลงไปเรื่อยๆในบล็อคท้ายๆ

    ส่วนที่พื้นเหรียญด้านหลังบริเวณฐานด้านซ้ายของท่านท้าวเวสสุวัณจะมีทั้งที่เรียบสวย พื้นเป็นรอยพรุนผิวทรายเล็กน้อย และพื้นเป็นรอยพรุนผิวทรายมาก

    และสังเกตุตัวตัดขอบเหรียญ ซึ่งเหรียญแท้แทบจะทุกเหรียญจะเป็นรอยตัดไม่เต็มเหรียญ เหรียญท้าวเวสสุวัณทุกๆบล็อคจะมีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดตายในการดูเหรียญแท้-ไม่แท้ ที่ต้องจำให้ดี

    **********************************************************

    เหรียญท้าวเวสสุวัณที่พอจะจำแนกแยกเป็นบล็อคต่างๆ คร่าวๆได้ 7บล็อค คือ
    1) บล็อคขอบจุด
    2) บล็อคอินทนูลอย
    3) บล็อคถาวโรมีขีด
    4) บล็อคใต้จมูกจุด
    5) บล็อคหูแตก
    6) บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก
    7) บล็อคหน้ากระจก

    พุทธาภิเษกที่ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2521 ใต้รูปมีข้อความว่า ที่ระลึกวันค่ายศรีนครินทรา กก.ตชด.เขต ๘ ๒๕ ก.ย. ๒๕๒๑ สร้างจำนวนทั้งสิ้น 44,227เหรียญ พิธีนี้พระท่านทำคงกระพันชาตรีแรงมากที่สุดคือนำหน้า มีเมตตามหานิยมอยู่บ้างพอสมควร ออกให้บูชาเหรียญละ 30บาทในขณะนั้น

    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นพิเศษที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 ค่ายศรีนครินทรา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบปีเปิดค่ายเมื่อปี 2521 วัตถุประสงค์ก็เพื่อแจกตำรวจตระวณชายแดนผู้ปฏิบัติการเสี่ยงภัย และให้ประชาชนเช่าบูชาด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเอารายได้ ถวายแก่วัดยากจนในภาคใต้ คณะผู้ดำเนินการสร้างได้รวบรวมแผ่นยันต์ และตะกรุดทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากมาเป็นชนวนของเนื้อเหรียญ และจัดพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช อันแสนศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษราชเดช” มือปราบจอมหนังเหนียวเป็นเจ้าพิธี พระเครื่องรุ่นใดที่ท่านนี้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยส่วนใหญ่จะดังและศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีของท่าน เพราะท่านเป็นคนรุ่นเก่า รู้เรื่องพิธีกรรมเยอะ นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ เข้าร่วมปลุกเสกหลายท่านด้วยกันครับ ดังนี้…

    1.พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    2.พระครูวรเวชย์วิสิฐ (หลวงปู่ครูบาธรรมชัย) พระอริยสงฆ์ แห่งวัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ สหธรรมมิก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรา
    3.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช อริยะสงฆ์แห่งแดนทักษิณ
    4.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
    5.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างพระปิดตาอันลือชื่อแห่งภาคใต้ พระปิตาของท่านส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อตะกั่ว มีหลายพิมพ์
    6. พ่อท่านจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้มีเมตตาสูงส่งยิ่งนัก ผู้ใดไปหาท่าน มักจะได้รับความเมตตาจากท่านอย่างมาก
    7. พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา จ.พัทลุง ท่านเป็นพระคณาจารย์ ศิษย์สายเขาอ้อ ครับ
    8. พรอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา จ.พัทลุง วิปัสสนาจารย์สายเขาอ้อ
    ฯลฯ

    ในเอกสารนั้นบอกไว้ว่า หลวงพ่อท่านปรารภไว้ว่า “ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้แล้วจะไม่มีตายโหง…”
    นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการหล่อเหรียญรุ่นนี้เช่น แผ่นทองหลายแผ่นไม่ละลายที่นำมาหล่อไม่ยอมละลาย จนต้องจุดธูปบอกกล่าว จึงหลอมได้สำเร็จ

    Read more
  • เหรียญ

    บล็อคถาวโรขีด__เหรียญท้าวเวสสุวัณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    บล็อคนี้ตรงคำว่า ถาวโร จะมีเส้นขีดจากขอบเหรียญลงมาที่สระอา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก “บล็อคถาวโรมีขีด” ความแตกต่างของบล็อคนี้ คือ ที่รูปหน้าองค์หลวงพ่อจะดูแปลกตาแตกต่างจากบล็อคอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาทั้ง2ข้างของหลวงพ่อจะเรียวเล็ก ไม่รีมนเหมือนบล็อคอื่นๆ เส้นเกษาจะเป็นจุดเม็ดกลมชัดเจน ตัวหนังสือรอบเหรียญจะดูลึกเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งมีมิติ

    ส่วนด้านหลังเหรียญ องค์ท้าวเวสสุวัณจะมีความลึกและคมชัดมาก รายละเอียดชัดเจน สวยชัดมากกว่าทุกๆพิมพ์ บริเวณเหนือหัวเขาด้านซ้ายขององค์ท้าวเวสสุวัณ จะมีเส้นขีดทำมุม45องศาชัดเจนทุกเหรียญ

    และสังเกตุตัวตัดขอบเหรียญ ซึ่งเหรียญแท้แทบจะทุกเหรียญจะเป็นรอยตัดไม่เต็มเหรียญ เหรียญท้าวเวสสุวัณทุกๆบล็อคจะมีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดตายในการดูเหรียญแท้-ไม่แท้ ที่ต้องจำให้ดี

    **********************************************************

    เหรียญท้าวเวสสุวัณที่พอจะจำแนกแยกเป็นบล็อคต่างๆ คร่าวๆได้ 7บล็อค คือ
    1) บล็อคขอบจุด
    2) บล็อคอินทนูลอย
    3) บล็อคถาวโรมีขีด
    4) บล็อคใต้จมูกจุด
    5) บล็อคหูแตก
    6) บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก
    7) บล็อคหน้ากระจก

    พุทธาภิเษกที่ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2521 ใต้รูปมีข้อความว่า ที่ระลึกวันค่ายศรีนครินทรา กก.ตชด.เขต ๘ ๒๕ ก.ย. ๒๕๒๑ สร้างจำนวนทั้งสิ้น 44,227เหรียญ พิธีนี้พระท่านทำคงกระพันชาตรีแรงมากที่สุดคือนำหน้า มีเมตตามหานิยมอยู่บ้างพอสมควร ออกให้บูชาเหรียญละ 30บาทในขณะนั้น

    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นพิเศษที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 ค่ายศรีนครินทรา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบปีเปิดค่ายเมื่อปี 2521 วัตถุประสงค์ก็เพื่อแจกตำรวจตระวณชายแดนผู้ปฏิบัติการเสี่ยงภัย และให้ประชาชนเช่าบูชาด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเอารายได้ ถวายแก่วัดยากจนในภาคใต้ คณะผู้ดำเนินการสร้างได้รวบรวมแผ่นยันต์ และตะกรุดทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากมาเป็นชนวนของเนื้อเหรียญ และจัดพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช อันแสนศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษราชเดช” มือปราบจอมหนังเหนียวเป็นเจ้าพิธี พระเครื่องรุ่นใดที่ท่านนี้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยส่วนใหญ่จะดังและศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีของท่าน เพราะท่านเป็นคนรุ่นเก่า รู้เรื่องพิธีกรรมเยอะ นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ เข้าร่วมปลุกเสกหลายท่านด้วยกันครับ ดังนี้…

    1.พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    2.พระครูวรเวชย์วิสิฐ (หลวงปู่ครูบาธรรมชัย) พระอริยสงฆ์ แห่งวัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ สหธรรมมิก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรา
    3.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช อริยะสงฆ์แห่งแดนทักษิณ
    4.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
    5.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างพระปิดตาอันลือชื่อแห่งภาคใต้ พระปิตาของท่านส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อตะกั่ว มีหลายพิมพ์
    6. พ่อท่านจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้มีเมตตาสูงส่งยิ่งนัก ผู้ใดไปหาท่าน มักจะได้รับความเมตตาจากท่านอย่างมาก
    7. พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา จ.พัทลุง ท่านเป็นพระคณาจารย์ ศิษย์สายเขาอ้อ ครับ
    8. พรอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา จ.พัทลุง วิปัสสนาจารย์สายเขาอ้อ
    ฯลฯ

    ในเอกสารนั้นบอกไว้ว่า หลวงพ่อท่านปรารภไว้ว่า “ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้แล้วจะไม่มีตายโหง…”
    นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการหล่อเหรียญรุ่นนี้เช่น แผ่นทองหลายแผ่นไม่ละลายที่นำมาหล่อไม่ยอมละลาย จนต้องจุดธูปบอกกล่าว จึงหลอมได้สำเร็จ

    Read more
  • เหรียญ

    บล็อคหน้ากระจก__เหรียญท้าวเวสสุวัณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    หลังจากการปั๊มเหรียญมากๆเข้าไปอีกโดยไม่ได้แต่งบล็อค จากตัวบล็อคที่แตกบริเวณหูเหรียญ แตกที่บริเวณตัวหนังสือ “พระมหาวีระ ที่ระลึก…” ที่เป็นเส้นพาดยาวลงมา และแตกที่สังฆาฏิ คราวนี้แตกเพิ่มขึ้นที่บริเวณขอบเหรียญบริเวณคำว่า ลึก ซึ่งเป็นเนื้อเกินใหญ่นูนขึ้นมาชัดเจน และอีกจุดที่แตกคือ บริเวณขอบเหรียญบริเวณเลข ๒กับ เลข ๕ ซึ่งจะเป็นเนื้อเกินนูนขึ้นมาเล็กน้อย (บล็อคด้านหน้าแบบนี้ ก็มีในบางเหรียญของบล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก เหมือนกัน ซึ่งเป็นพิมพ์ท้ายๆของการปั๊มในบล็อคนั้น)

    ส่วนด้านหลังเหรียญ บริเวณใบหน้าขององค์ท้าวเวสสุวัณจะสึกเรียบ ซึ่งเกิดจากการปั๊มมากๆโดยไม่แต่งตัวบล็อค และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อเรียก “บล็อคหน้ากระจก”

    และสังเกตุตัวตัดขอบเหรียญ ซึ่งเหรียญแท้แทบจะทุกเหรียญจะเป็นรอยตัดไม่เต็มเหรียญ เหรียญท้าวเวสสุวัณทุกๆบล็อคจะมีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดตายในการดูเหรียญแท้-ไม่แท้ ที่ต้องจำให้ดี

    **********************************************************

    เหรียญท้าวเวสสุวัณที่พอจะจำแนกแยกเป็นบล็อคต่างๆ คร่าวๆได้ 7บล็อค คือ
    1) บล็อคขอบจุด
    2) บล็อคอินทนูลอย
    3) บล็อคถาวโรมีขีด
    4) บล็อคใต้จมูกจุด
    5) บล็อคหูแตก
    6) บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก
    7) บล็อคหน้ากระจก

    พุทธาภิเษกที่ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2521 ใต้รูปมีข้อความว่า ที่ระลึกวันค่ายศรีนครินทรา กก.ตชด.เขต ๘ ๒๕ ก.ย. ๒๕๒๑ สร้างจำนวนทั้งสิ้น 44,227เหรียญ พิธีนี้พระท่านทำคงกระพันชาตรีแรงมากที่สุดคือนำหน้า มีเมตตามหานิยมอยู่บ้างพอสมควร ออกให้บูชาเหรียญละ 30บาทในขณะนั้น

    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นพิเศษที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 ค่ายศรีนครินทรา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบปีเปิดค่ายเมื่อปี 2521 วัตถุประสงค์ก็เพื่อแจกตำรวจตระวณชายแดนผู้ปฏิบัติการเสี่ยงภัย และให้ประชาชนเช่าบูชาด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเอารายได้ ถวายแก่วัดยากจนในภาคใต้ คณะผู้ดำเนินการสร้างได้รวบรวมแผ่นยันต์ และตะกรุดทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากมาเป็นชนวนของเนื้อเหรียญ และจัดพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช อันแสนศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษราชเดช” มือปราบจอมหนังเหนียวเป็นเจ้าพิธี พระเครื่องรุ่นใดที่ท่านนี้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยส่วนใหญ่จะดังและศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีของท่าน เพราะท่านเป็นคนรุ่นเก่า รู้เรื่องพิธีกรรมเยอะ นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ เข้าร่วมปลุกเสกหลายท่านด้วยกันครับ ดังนี้…

    1.พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    2.พระครูวรเวชย์วิสิฐ (หลวงปู่ครูบาธรรมชัย) พระอริยสงฆ์ แห่งวัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ สหธรรมมิก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรา
    3.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช อริยะสงฆ์แห่งแดนทักษิณ
    4.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
    5.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างพระปิดตาอันลือชื่อแห่งภาคใต้ พระปิตาของท่านส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อตะกั่ว มีหลายพิมพ์
    6. พ่อท่านจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้มีเมตตาสูงส่งยิ่งนัก ผู้ใดไปหาท่าน มักจะได้รับความเมตตาจากท่านอย่างมาก
    7. พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา จ.พัทลุง ท่านเป็นพระคณาจารย์ ศิษย์สายเขาอ้อ ครับ
    8. พรอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา จ.พัทลุง วิปัสสนาจารย์สายเขาอ้อ
    ฯลฯ

    ในเอกสารนั้นบอกไว้ว่า หลวงพ่อท่านปรารภไว้ว่า “ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้แล้วจะไม่มีตายโหง…”
    นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการหล่อเหรียญรุ่นนี้เช่น แผ่นทองหลายแผ่นไม่ละลายที่นำมาหล่อไม่ยอมละลาย จนต้องจุดธูปบอกกล่าว จึงหลอมได้สำเร็จ

    Read more
  • เหรียญ

    บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก__เหรียญท้าวเวสสุวัณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    หลังจากการปั๊มเหรียญมากๆเข้า จากตัวบล็อคที่แตกบริเวณหูเหรียญ คราวนี้เริ่มมาแตกบริเวณตัวหนังสือ “พระมหาวีระ ที่ระลึก…” เป็นเส้นพาดยาวลงมา และบล็อคแตกอีกจุดที่บริเวณสังฆาฏิ ระหว่างเลข๕ กับ ก. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก “บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก” บล็อคนี้บริเวณใต้จมูกหลวงพ่อยังคงมีจุดไข่ปลาเล็กๆหนึ่งเม็ดเหมือนบล็อคจมูกจุดเหมือนเดิม แต่บริเวณตรงใต้คำว่า ฤาษี ที่มีเส้นขนแมวบางๆหลายเส้นทอดมายังศรีษะด้านซ้ายเหนือใบหูของหลวงพ่อจะมองไม่เห็นแล้ว

    ส่วนด้านหลังเหรียญทั้งองค์ท้าวเวสสุวัณและอักขระยันต์รอบๆ เหมือนบล็อคใต้จมูกจุด แต่ความคมชัดเริ่มน้อยกว่าเนื่องจากการปั๊มไปนานๆ ตัวบล็อคเริ่มสึกและตื้นมากขึ้น

    และสังเกตุตัวตัดขอบเหรียญ ซึ่งเหรียญแท้แทบจะทุกเหรียญจะเป็นรอยตัดไม่เต็มเหรียญ เหรียญท้าวเวสสุวัณทุกๆบล็อคจะมีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดตายในการดูเหรียญแท้-ไม่แท้ ที่ต้องจำให้ดี

    **********************************************************

    เหรียญท้าวเวสสุวัณที่พอจะจำแนกแยกเป็นบล็อคต่างๆ คร่าวๆได้ 7บล็อค คือ
    1) บล็อคขอบจุด
    2) บล็อคอินทนูลอย
    3) บล็อคถาวโรมีขีด
    4) บล็อคใต้จมูกจุด
    5) บล็อคหูแตก
    6) บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก
    7) บล็อคหน้ากระจก

    พุทธาภิเษกที่ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2521 ใต้รูปมีข้อความว่า ที่ระลึกวันค่ายศรีนครินทรา กก.ตชด.เขต ๘ ๒๕ ก.ย. ๒๕๒๑ สร้างจำนวนทั้งสิ้น 44,227เหรียญ พิธีนี้พระท่านทำคงกระพันชาตรีแรงมากที่สุดคือนำหน้า มีเมตตามหานิยมอยู่บ้างพอสมควร ออกให้บูชาเหรียญละ 30บาทในขณะนั้น

    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นพิเศษที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 ค่ายศรีนครินทรา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบปีเปิดค่ายเมื่อปี 2521 วัตถุประสงค์ก็เพื่อแจกตำรวจตระวณชายแดนผู้ปฏิบัติการเสี่ยงภัย และให้ประชาชนเช่าบูชาด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเอารายได้ ถวายแก่วัดยากจนในภาคใต้ คณะผู้ดำเนินการสร้างได้รวบรวมแผ่นยันต์ และตะกรุดทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากมาเป็นชนวนของเนื้อเหรียญ และจัดพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช อันแสนศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษราชเดช” มือปราบจอมหนังเหนียวเป็นเจ้าพิธี พระเครื่องรุ่นใดที่ท่านนี้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยส่วนใหญ่จะดังและศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีของท่าน เพราะท่านเป็นคนรุ่นเก่า รู้เรื่องพิธีกรรมเยอะ นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ เข้าร่วมปลุกเสกหลายท่านด้วยกันครับ ดังนี้…

    1.พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    2.พระครูวรเวชย์วิสิฐ (หลวงปู่ครูบาธรรมชัย) พระอริยสงฆ์ แห่งวัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ สหธรรมมิก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรา
    3.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช อริยะสงฆ์แห่งแดนทักษิณ
    4.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
    5.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างพระปิดตาอันลือชื่อแห่งภาคใต้ พระปิตาของท่านส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อตะกั่ว มีหลายพิมพ์
    6. พ่อท่านจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้มีเมตตาสูงส่งยิ่งนัก ผู้ใดไปหาท่าน มักจะได้รับความเมตตาจากท่านอย่างมาก
    7. พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา จ.พัทลุง ท่านเป็นพระคณาจารย์ ศิษย์สายเขาอ้อ ครับ
    8. พรอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา จ.พัทลุง วิปัสสนาจารย์สายเขาอ้อ
    ฯลฯ

    ในเอกสารนั้นบอกไว้ว่า หลวงพ่อท่านปรารภไว้ว่า “ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้แล้วจะไม่มีตายโหง…”
    นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการหล่อเหรียญรุ่นนี้เช่น แผ่นทองหลายแผ่นไม่ละลายที่นำมาหล่อไม่ยอมละลาย จนต้องจุดธูปบอกกล่าว จึงหลอมได้สำเร็จ

    Read more
  • เหรียญ

    บล็อคหูแตก__เหรียญท้าวเวสสุวัณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    บล็อคนี้แท้จริงแล้วก็คือ บล็อคใต้จมูกจุด นั่นเอง แต่หลังจากการปั๊มเหรียญมากๆเข้า ตัวบล็อคบริเวณหูเหรียญเกิดมีรอยแตก ทำให้มีเส้นขีดจากหูเหรียญตรงมาที่ตัวสระอา ของคำว่าถาวโร ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก “บล็อคหูแตก” บล็อคนี้บริเวณใต้จมูกหลวงพ่อยังคงมีจุดไข่ปลาเล็กๆหนึ่งเม็ดเหมือนบล็อคจมูกจุด แต่บริเวณตรงใต้คำว่า ฤาษี ที่มีเส้นขนแมวบางๆหลายเส้นทอดมายังศรีษะด้านซ้ายเหนือใบหูของหลวงพ่อจะพอเห็นลางๆในพิมพ์แรกของการปั๊ม และจะมองไม่เห็นเลยในพิมพ์ท้ายๆของการปั๊ม

    ส่วนด้านหลังเหรียญทั้งองค์ท้าวเวสสุวัณและอักขระยันต์รอบๆ ดูสวยงามเรียบร้อยดี ไม่มีรอยพรุนบริเวณฐานขององค์ท้าวเวสสุวัณ เหมือนบล็อคใต้จมูกจุด

    และสังเกตุตัวตัดขอบเหรียญ ซึ่งเหรียญแท้แทบจะทุกเหรียญจะเป็นรอยตัดไม่เต็มเหรียญ เหรียญท้าวเวสสุวัณทุกๆบล็อคจะมีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดตายในการดูเหรียญแท้-ไม่แท้ ที่ต้องจำให้ดี

    **********************************************************

    เหรียญท้าวเวสสุวัณที่พอจะจำแนกแยกเป็นบล็อคต่างๆ คร่าวๆได้ 7บล็อค คือ
    1) บล็อคขอบจุด
    2) บล็อคอินทนูลอย
    3) บล็อคถาวโรมีขีด
    4) บล็อคใต้จมูกจุด
    5) บล็อคหูแตก
    6) บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก
    7) บล็อคหน้ากระจก

    พุทธาภิเษกที่ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2521 ใต้รูปมีข้อความว่า ที่ระลึกวันค่ายศรีนครินทรา กก.ตชด.เขต ๘ ๒๕ ก.ย. ๒๕๒๑ สร้างจำนวนทั้งสิ้น 44,227เหรียญ พิธีนี้พระท่านทำคงกระพันชาตรีแรงมากที่สุดคือนำหน้า มีเมตตามหานิยมอยู่บ้างพอสมควร ออกให้บูชาเหรียญละ 30บาทในขณะนั้น

    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นพิเศษที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 ค่ายศรีนครินทรา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบปีเปิดค่ายเมื่อปี 2521 วัตถุประสงค์ก็เพื่อแจกตำรวจตระวณชายแดนผู้ปฏิบัติการเสี่ยงภัย และให้ประชาชนเช่าบูชาด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเอารายได้ ถวายแก่วัดยากจนในภาคใต้ คณะผู้ดำเนินการสร้างได้รวบรวมแผ่นยันต์ และตะกรุดทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากมาเป็นชนวนของเนื้อเหรียญ และจัดพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช อันแสนศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษราชเดช” มือปราบจอมหนังเหนียวเป็นเจ้าพิธี พระเครื่องรุ่นใดที่ท่านนี้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยส่วนใหญ่จะดังและศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีของท่าน เพราะท่านเป็นคนรุ่นเก่า รู้เรื่องพิธีกรรมเยอะ นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ เข้าร่วมปลุกเสกหลายท่านด้วยกันครับ ดังนี้…

    1.พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    2.พระครูวรเวชย์วิสิฐ (หลวงปู่ครูบาธรรมชัย) พระอริยสงฆ์ แห่งวัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ สหธรรมมิก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรา
    3.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช อริยะสงฆ์แห่งแดนทักษิณ
    4.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
    5.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างพระปิดตาอันลือชื่อแห่งภาคใต้ พระปิตาของท่านส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อตะกั่ว มีหลายพิมพ์
    6. พ่อท่านจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้มีเมตตาสูงส่งยิ่งนัก ผู้ใดไปหาท่าน มักจะได้รับความเมตตาจากท่านอย่างมาก
    7. พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา จ.พัทลุง ท่านเป็นพระคณาจารย์ ศิษย์สายเขาอ้อ ครับ
    8. พรอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา จ.พัทลุง วิปัสสนาจารย์สายเขาอ้อ
    ฯลฯ

    ในเอกสารนั้นบอกไว้ว่า หลวงพ่อท่านปรารภไว้ว่า “ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้แล้วจะไม่มีตายโหง…”
    นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการหล่อเหรียญรุ่นนี้เช่น แผ่นทองหลายแผ่นไม่ละลายที่นำมาหล่อไม่ยอมละลาย จนต้องจุดธูปบอกกล่าว จึงหลอมได้สำเร็จ

    Read more
  • เหรียญ

    บล็อคอินธนูลอย__เหรียญท้าวเวสสุวัณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    บล็อคนี้สังเกตุตัวหนังสือรอบๆเหรียญจะดูหนากว่าบล็อคอื่นๆ และบางเหรียญของบล็อคนี้ บริเวณคำว่า ถาวโร ใต้ ถ.จะเป็นลักษณะคล้ายเนื้อนูน และมีเนื้อเกินจุดเล็กๆบริเวณขอบศรีษะหลวงพ่อค่อนไปทางซ้าย ซึ่งไม่เป็นทุกเหรียญ

    ส่วนด้านหลังเหรียญ บริเวณบ่าขององค์ท้าวเวสสุวัณ อินธนูทั้ง2ข้างจะไม่ต่อลงมาติดกับบ่าขององค์ท้าวเวสสุวัณ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก “บล็อคอินธนูลอย” บริเวณฐานและอักขระข้างซ้ายล่างของท้าวเวสสุวัณจะมีรอยพรุนอยู่มากทุกเหรียญ

    และบล็อคนี้จะปั๊มเหรียญเนื้อเงินออกมาด้วย สร้างมาประมาณ20เหรียญ (เป็นบล็อคเดียวที่มีเหรียญเนื้อเงิน จำไว้..บล็อคอื่นๆไม่มีจัดสร้าง)

    และต้องไม่ลืมสังเกตุตัวตัดขอบเหรียญ ซึ่งเหรียญแท้แทบจะทุกเหรียญจะเป็นรอยตัดไม่เต็มเหรียญซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเหรียญปั๊มทั่วๆไป เหรียญท้าวเวสสุวัณทุกๆบล็อคจะมีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดตายในการดูเหรียญแท้-ไม่แท้ ที่ต้องจำให้ดี

    **********************************************************

    เหรียญท้าวเวสสุวัณที่พอจะจำแนกแยกเป็นบล็อคต่างๆ คร่าวๆได้ 7บล็อค คือ
    1) บล็อคขอบจุด
    2) บล็อคอินทนูลอย
    3) บล็อคถาวโรมีขีด
    4) บล็อคใต้จมูกจุด
    5) บล็อคหูแตก
    6) บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก
    7) บล็อคหน้ากระจก

    พุทธาภิเษกที่ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2521 ใต้รูปมีข้อความว่า ที่ระลึกวันค่ายศรีนครินทรา กก.ตชด.เขต ๘ ๒๕ ก.ย. ๒๕๒๑ สร้างจำนวนทั้งสิ้น 44,227เหรียญ พิธีนี้พระท่านทำคงกระพันชาตรีแรงมากที่สุดคือนำหน้า มีเมตตามหานิยมอยู่บ้างพอสมควร ออกให้บูชาเหรียญละ 30บาทในขณะนั้น

    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นพิเศษที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 ค่ายศรีนครินทรา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบปีเปิดค่ายเมื่อปี 2521 วัตถุประสงค์ก็เพื่อแจกตำรวจตระวณชายแดนผู้ปฏิบัติการเสี่ยงภัย และให้ประชาชนเช่าบูชาด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเอารายได้ ถวายแก่วัดยากจนในภาคใต้ คณะผู้ดำเนินการสร้างได้รวบรวมแผ่นยันต์ และตะกรุดทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากมาเป็นชนวนของเนื้อเหรียญ และจัดพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช อันแสนศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษราชเดช” มือปราบจอมหนังเหนียวเป็นเจ้าพิธี พระเครื่องรุ่นใดที่ท่านนี้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยส่วนใหญ่จะดังและศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีของท่าน เพราะท่านเป็นคนรุ่นเก่า รู้เรื่องพิธีกรรมเยอะ นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ เข้าร่วมปลุกเสกหลายท่านด้วยกันครับ ดังนี้…

    1.พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    2.พระครูวรเวชย์วิสิฐ (หลวงปู่ครูบาธรรมชัย) พระอริยสงฆ์ แห่งวัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ สหธรรมมิก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรา
    3.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช อริยะสงฆ์แห่งแดนทักษิณ
    4.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
    5.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างพระปิดตาอันลือชื่อแห่งภาคใต้ พระปิตาของท่านส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อตะกั่ว มีหลายพิมพ์
    6. พ่อท่านจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้มีเมตตาสูงส่งยิ่งนัก ผู้ใดไปหาท่าน มักจะได้รับความเมตตาจากท่านอย่างมาก
    7. พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา จ.พัทลุง ท่านเป็นพระคณาจารย์ ศิษย์สายเขาอ้อ ครับ
    8. พรอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา จ.พัทลุง วิปัสสนาจารย์สายเขาอ้อ
    ฯลฯ

    ในเอกสารนั้นบอกไว้ว่า หลวงพ่อท่านปรารภไว้ว่า “ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้แล้วจะไม่มีตายโหง…”
    นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการหล่อเหรียญรุ่นนี้เช่น แผ่นทองหลายแผ่นไม่ละลายที่นำมาหล่อไม่ยอมละลาย จนต้องจุดธูปบอกกล่าว จึงหลอมได้สำเร็จ

    Read more
  • เหรียญ

    บล็อคใต้จมูกจุด__เหรียญท้าวเวสสุวัณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    บล็อคนี้บริเวณใต้จมูกของหลวงพ่อจะมีจุดไข่ปลาเล็กๆหนึ่งเม็ด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก “บล็อคใต้จมูกจุด” และตรงใต้คำว่า ฤาษี จะมีเส้นขนแมวบางๆหลายเส้นทอดมายังศรีษะด้านซ้ายเหนือใบหูของหลวงพ่อ

    ส่วนด้านหลังเหรียญทั้งองค์ท้าวเวสสุวัณและอักขระยันต์รอบๆ บล็อคนี้จะดูสวยงามเรียบร้อยดี ไม่มีรอยพรุนบริเวณฐานขององค์ท้าวเวสสุวัณ

    และสังเกตุตัวตัดขอบเหรียญ ซึ่งเหรียญแท้แทบจะทุกเหรียญจะเป็นรอยตัดไม่เต็มเหรียญ เหรียญท้าวเวสสุวัณทุกๆบล็อคจะมีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดตายในการดูเหรียญแท้-ไม่แท้ ที่ต้องจำให้ดี

    **********************************************************

    เหรียญท้าวเวสสุวัณที่พอจะจำแนกแยกเป็นบล็อคต่างๆ คร่าวๆได้ 7บล็อค คือ
    1) บล็อคขอบจุด
    2) บล็อคอินทนูลอย
    3) บล็อคถาวโรมีขีด
    4) บล็อคใต้จมูกจุด
    5) บล็อคหูแตก
    6) บล็อคหูแตก สังฆาฏิแตก
    7) บล็อคหน้ากระจก

    พุทธาภิเษกที่ วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2521 ใต้รูปมีข้อความว่า ที่ระลึกวันค่ายศรีนครินทรา กก.ตชด.เขต ๘ ๒๕ ก.ย. ๒๕๒๑ สร้างจำนวนทั้งสิ้น 44,227เหรียญ พิธีนี้พระท่านทำคงกระพันชาตรีแรงมากที่สุดคือนำหน้า มีเมตตามหานิยมอยู่บ้างพอสมควร ออกให้บูชาเหรียญละ 30บาทในขณะนั้น

    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นพิเศษที่ทางกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 ค่ายศรีนครินทรา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบปีเปิดค่ายเมื่อปี 2521 วัตถุประสงค์ก็เพื่อแจกตำรวจตระวณชายแดนผู้ปฏิบัติการเสี่ยงภัย และให้ประชาชนเช่าบูชาด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเอารายได้ ถวายแก่วัดยากจนในภาคใต้ คณะผู้ดำเนินการสร้างได้รวบรวมแผ่นยันต์ และตะกรุดทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากมาเป็นชนวนของเนื้อเหรียญ และจัดพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช อันแสนศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษราชเดช” มือปราบจอมหนังเหนียวเป็นเจ้าพิธี พระเครื่องรุ่นใดที่ท่านนี้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยส่วนใหญ่จะดังและศักดิ์สิทธิ์ตามพิธีของท่าน เพราะท่านเป็นคนรุ่นเก่า รู้เรื่องพิธีกรรมเยอะ นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ เข้าร่วมปลุกเสกหลายท่านด้วยกันครับ ดังนี้…

    1.พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    2.พระครูวรเวชย์วิสิฐ (หลวงปู่ครูบาธรรมชัย) พระอริยสงฆ์ แห่งวัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ สหธรรมมิก ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรา
    3.พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช อริยะสงฆ์แห่งแดนทักษิณ
    4.พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
    5.พ่อท่านแก่น วัดทุ่งหล่อ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สร้างพระปิดตาอันลือชื่อแห่งภาคใต้ พระปิตาของท่านส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อตะกั่ว มีหลายพิมพ์
    6. พ่อท่านจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้มีเมตตาสูงส่งยิ่งนัก ผู้ใดไปหาท่าน มักจะได้รับความเมตตาจากท่านอย่างมาก
    7. พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา จ.พัทลุง ท่านเป็นพระคณาจารย์ ศิษย์สายเขาอ้อ ครับ
    8. พรอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา จ.พัทลุง วิปัสสนาจารย์สายเขาอ้อ
    ฯลฯ

    ในเอกสารนั้นบอกไว้ว่า หลวงพ่อท่านปรารภไว้ว่า “ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้แล้วจะไม่มีตายโหง…”
    นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการหล่อเหรียญรุ่นนี้เช่น แผ่นทองหลายแผ่นไม่ละลายที่นำมาหล่อไม่ยอมละลาย จนต้องจุดธูปบอกกล่าว จึงหลอมได้สำเร็จ

    Read more
  • เครื่องรางอื่นๆ

    บัตรใบจองรับของ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    เป็นบัตรใบจองที่ทางวัดจัดทำขึ้น มีรูปหลวงพ่อด้านซ้ายและปั๊มตราของวัดที่ด้านขวา มีเลขลำดับการจองที่มุมขวาด้านล่าง ต้องนำมาด้วยเพื่อรับของที่จองไว้

    Read more
  • เครื่องรางอื่นๆ

    ปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    เป็นประจำทุกๆปี ทางวัดจะออกปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ สำหรับลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ดูดวงดูวันว่าวันไหนฤกษ์ดีเหมาะแก่การทำงานมงคล และวันไหนฤกษ์ไม่ดีที่ไม่ควรทำกิจการมงคลใดๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ส่วนหนึ่ง

    Read more
  • ๗. ศึกษา - แบ่งปัน ประวัติ ประวัติ-โชว์

    ประวัติพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2459 ตรงกับวันขึ้น9ค่ำ เดือน8 ปีมะโรง ที่ ต.สาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ในครอบครัวของชาวนาซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี บิดาชื่อนายควง สังข์สุวรรณ มารดาชื่อนางสมบุญ สังข์สุวรรณ ท่านเป็นบุตรคนที่3 จากพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน5คน

    ก่อนที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำจะเกิดนั้น มารดาของท่านฝันว่า เห็นพรหมมีสีเหลืองเป็นทองคำเหมือนพระพุทธรูป นอนลอยไปในอากาศ มีเพชรประดับแพรวพราวทั้งตัว เข้าทางหัวจั่วด้านทิศเหนือ เข้ามานั่งที่ตักท่าน มารดาก็กอดไว้ แล้วก็หายเข้าไปในกาย เมื่อเกิดมาใหม่ๆ หลวงพ่อเล็ก เกสโร ซึ่งมีฐานะเป็นลุง ได้กล่าวว่า เจ้าเด็กคนนี้มาจากพรหม ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า “พรหม” และต่อมาภายหลัง คนที่จดสำมะโนครัวเขามาเปลี่ยนชื่อให้เป็น “สังเวียน” ท่านยายกับชาวบ้านเรียกว่า “เล็ก” ส่วนท่านมารดาและพี่ๆน้องๆ เรียกว่า “พ่อกลาง”

    -พ.ศ.2466 อายุ7ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลวัดบางนมโค จ.อยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่3

    -พ.ศ.2474 อายุ15ปี อาศัยกับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อ.ตลิ่งชัน จ.ธนบุรี ได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ พ.ศ.2478 อายุ19ปี เข้าทำงานเป็นเภสัชกรทหาร สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า)

    -พ.ศ.2479 อายุ20ปี อุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2479 เวลา13.00นาฬิกา ที่วัดบางนมโค จ.อยุธยา โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนันโท) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    คำสั่งพระอุปัชฌาย์ ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปาน ท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อ (ปาน) หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า “3 องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน 2องค์นี้พอครบ 10พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ20พรรษาจงออกจากสำนักเดิม เธอจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ”

    พ.ศ.2480 อายุ21ปี สอบได้นักธรรมตรี
    พ.ศ.2481 อายุ22ปี สอบได้นักธรรมโท
    พ.ศ.2482 อายุ23ปี สอบได้ นักธรรมเอก

    ระหว่างปี พ.ศ.2480-2483 ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

    -พ.ศ.2483 อายุ24ปี เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อ.ตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี จากนั้นย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคารามในช่วงออกพรรษาในสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) อยู่วัดช่างเหล็กในช่วงเข้าพรรษา ระหว่างนี้ได้ศึกษาเพิ่มเติมกรรมฐานกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ และพบพระสุปฏิปันโนอีกมาก เช่น สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัย)

    -พ.ศ.2486 อายุ27ปี สอบได้เปรียญธรรม 3ประโยค เปลี่ยนชื่อเป็น “พระมหาวีระ” เพื่อไม่ให้คล้ายกับ พระมหาสำเนียง ที่อยู่วัดช่างเหล็ก ที่เดียวกัน

    -พ.ศ.2488 อายุ29ปี สอบได้เปรียญธรรม 4ประโยค ย้ายมาอยู่วัดประยูรวงศาวาส ได้เป็นรองเจ้าคณะ4 วัดประยูรวงศาวาส และฝึกหัดการเป็นนักเทศน์

    -พ.ศ.2492 อายุ33ปี จำพรรษาที่วัดลาวทอง จ.สุพรรณบุรี

    -พ.ศ.2494 อายุ35ปี จึงกลับไปอยู่วัดบางนมโคและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค

    -พ.ศ.2500 อายุ41ปี อาพาธหนักเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ

    -พ.ศ.2502 อายุ43ปี พักฟื้นที่วัดชิโนรสาราม กรุงเทพฯ จากนั้นจึงได้ย้ายไปอยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ ได้ลูกศิษย์รุ่นแรก 6คน

    -พ.ศ.2505 อายุ46ปี ไปจำพรรษาที่วัดพรวน จ.ชัยนาทเป็นเวลา 1พรรษา

    -พ.ศ.2506 อายุ47ปี กลับมาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ภาวนาราม พอกลางเดือนมิถุนายน ก็ได้ลาพุทธภูมิ

    -พ.ศ.2508 อายุ49ปี จำพรรษาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท แล้วเริ่มไป – กลับวัดสะพาน จ.ชัยนาท เพื่อสอนพระกรรมฐาน

    -พ.ศ.2510 อายุ51ปี ได้สอนวิชามโนมยิทธิ แล้วจึงจำพรรษาที่วัดสะพาน จ.ชัยนาท

    -พ.ศ.2511 อายุ52ปี ในวันที่ 11 มีนาคม จึงมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ได้ทำบูรณะ สร้างและขยายวัด จากเดิมมีพื้นที่ 6ไร่ 2งาน 07 2/10ตารางวา จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ 289ไร่ 1งาน 40ตารางวา มีอาคารและถาวรวัตถุต่าง ๆ จำนวน 144รายการในวัด สิ้นค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 611,949,193บาท สิ่งก่อสร้างทั้งในวัดและนอกวัด อาทิเช่น หอสวดมนต์, พระพุทธรูป, อาคารปฏิบัติกรรมฐาน, ศาลาการเปรียญ, วิหาร 100เมตร, โบสถ์ใหม่, บูรณะโบสถ์เก่า, ศาลา 2 ไร่, 3 ไร่, 4 ไร่ และ 12 ไร่, หอไตร, โรงพยาบาลศูนย์แม่และเด็ก ชนบทที่ 61, พระจุฬามณี, มณฑปท้าวมหาราชทั้ง 4, พระบรมราชานุสาวรีย์ 6พระองค์, พระชำระหนี้สงฆ์, โรงไฟฟ้า, โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา, ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ เป็นต้น ทั้งยังได้ช่วยการก่อสร้างที่วัดอื่นๆ ในประเทศไทยอีกมากมาย

    -พ.ศ.2520 อายุ61ปี ตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม

    -พ.ศ.2526 อายุ67ปี สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กชนบทที่61 และมอบให้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

    -พ.ศ.2527 อายุ68ปี ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญวิ. (ป.ธ.4 น.ธ.เอก) ที่ “พระสุธรรมยานเถร”

    -พ.ศ.2528 อายุ69ปี สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา

    -พ.ศ.2532 อายุ73ปี ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

    -พ.ศ. 2535 อายุ76ปี ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2535 เวลา 16.10 น. ปัจจุบันศพของหลวงพ่อได้บรรจุไว้ในโลงแก้วบนบุษบกทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีอันวิจิตรงดงาม ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

    -ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน จัดตั้งธนาคารข้าว ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อ ปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร ยา อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ

    -ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติสำรวมกาย วาจา ใจ มุ่งในทาน ศีล สมาธิ และปัญญา ทั้งในทางกรรมฐาน40 และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนจำนวนมากและบันทึกเทปคำสอนกว่า 1,000 ม้วน นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆปี

    -ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า 30วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า 600ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ

    -ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 ทั้งการแจกเสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน, การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ, การจัดแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย, การให้ทุนนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน, การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ

    นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรสแท้องค์หนึ่ง

    คุณวิเศษส่วนองค์และต่อส่วนรวม
    1. เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมามาก
    2. ทรงอภิญญาสมาบัติและปฏิสัมภิทาญาณ
    3. ทรงเถรธรรม ประกอบด้วย รัตตัญญู (รู้ราตรีนาน), สีลวา (มีศีล), พหุสสุตะ (ทรงความรู้ได้ฟังมาก), สวาคตะปาฏิโมกขะ (วินิจฉัยพระวินัยได้ดี), อธิกรณสมุปปาทวูปสมกุสละ (ฉลาดในการระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น), ธัมมกามะ (ใคร่ในธรรม), สันตุฏฐะ (สันโดษ), ปาสาทิกะ (น่าเลื่อมใส), ฌานลาภี (คล่องในฌาน) และ อนาสวเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ (บรรลุเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ สิ้นอาสวกิเลส
    4. รู้แจ้งในไตรภูมิ
    5. เป็นที่รักของพระ พรหม เทพยดาและมนุษย์ทั้งปวง
    6. สอนคนให้เข้าใจถึงพระนิพพานได้จริง ตามมาตรฐานการปฏิบัติธรรมแห่งพระพุทธศาสนาครบถ้วนทั้ง 4 หมวด อันได้แก่
    6.1) สุกขวิปัสสโก ปฏิบัติธรรมแบบเรียบ ๆ มีมรรคมีผล แต่ไม่มีความรู้พิเศษ
    6.2) เตวิชโช หรือเรียกว่า วิชชา 3 มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษคือ ทิพจักขุญาณ รู้ว่าคนเกิดมาจากไหน ตายไปไหน เป็นต้น มีญาณ 8 ประการ
    6.3) ฉฬภิญโญ หรือเรียกว่า อภิญญา6 มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษคือแสดงฤทธิ์ได้ 5 อย่าง หากหมดกิเลสด้วยจะเรียกว่าได้อภิญญา6
    6.4) ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษครอบคลุมทั้ง 3 หมวดแรก ปฏิสัมภิทาญาณนั้นคือ ทรงพระไตรปิฎก (แตกฉานในเหตุและผล), รู้ภาษาคนทุกภาษาและภาษาสัตว์ทุกชนิด และคล่องแคล่วในการสอนธรรม (ขยายความให้เข้าใจก็ได้ ย่อความให้เข้าใจก็ได้)

    *****
    คำกล่าวที่จารึกในแผ่นทองซึ่งบรรจุใต้แท่นพระประธาน เมื่อพ.ศ. 2519 ในแผ่นทองได้จารึกไว้ดังนี้

    “เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมถ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว 2700 ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว”

    อีกทั้งท่านยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้

    “ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิต จดจำลูกหลานของฉันไว้ ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปัชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นานคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว”

    *****
    “..คนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ
    1. ศิษย์ชั้น 3
    พยายามรักษาศีล5เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น 3 คือ ศิษย์ขนาดจิ๋ว

    2. ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้
    มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง

    3. ศิษย์เอก มีปฏิปทา ดังนี้
    รักษาศีล5ครบถ้วนเป็นปกติ, เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน และขอพระนิพพานชาตินี้

    Read more
  • ๗. ศึกษา - แบ่งปัน ประวัติ ประวัติ-โชว์

    ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจจะมีชื่อซ้ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น พระพุทธสิกขีที่ 1 พระองค์จึงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่า ทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู” อย่างแท้จริง

    สมัยที่สมเด็จพระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ 2หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40อสงไขยกัปในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ถึง 40อสงไขยกัปเศษ

    การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ.2511 คือท่านกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทาน เพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ ที่หลังคาตํ่าๆ หากพระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้น แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปานปรากฏขึ้นข้างข้าง ๆ หลวงปู่ปานท่านบอกว่า ” คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา ” อีกประมาณสัก 5นาที ปรากฏว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะ แสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินไปถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านก็ตรัสว่า ” ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า… ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน ” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น ”

    ก็เป็นความจริง เมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ สอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่าวันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูดไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่งไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสาารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้นเอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกันก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน

    อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐานก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่าเป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่าไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่า ในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปของท่าน

    ต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนา ขอพบท่านในสมัยที่รูปร่างเป็นมนุษย์ ท่านก็ปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน แก้มตอบปากบุ๋มลงไป แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่างสมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน แบบปางพระนิพพานหรือแบบมนุษย์

    พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับ พระพุทธรูปและมีเรือนแก้ว แบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริงของพระองค์ตอนเป็นมนุษย์ และก็ไม่เหมือนรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูปที่ท่านต้องการ ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึง 3วันติดๆ กัน วันละประมาณ 1ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาช่างปั้น ขอให้โปรดดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาก็เอามาให้ดูเหมือนกับรูปที่ท่านแสดงจริง ๆ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์

    เมื่อพระเดชพระคุณหลวง พ่อตัดสินใจปั้นรูปของสมเด็จองค์ปฐม ก็นึกถึงพระบรมสารีริกธาตุ เพราะพระพุทธรูปทุกองค์ในสถานที่สำคัญ ก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่เป็นพระบรมสารีริกธาตุขององค์ปัจจุบัน จึงคิดว่าจะหาได้จากไหน จึงตัดสินใจว่า ถ้าทำไม่ได้ก็จะเอาขององค์ปัจจุบันบรรจุแทน เพราะถือว่าเป็นคนละขั้นตอน ต่อมา ขณะที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังจะนอน จิตเริ่มเคลิ้ม ก็ได้ยินเสียงว่า “พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมเอามาให้แล้วนะ วางไว้ที่ตลับบนเตียงข้างๆ หัวนอน” ได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน จึงลุกขึ้นไปเปิดไฟ ปรากฎว่าที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติคแบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง ไปเปิดดูเห็นพระบรมสารีริกธาตุองค์โตสององค์ ก็ดีใจว่าขององค์ปฐมแน่ จึงเก็บไว้ในที่สักการะบูชา เอาไว้บรรจุพระองค์ท่าน

    การสร้างมณฑปของสมเด็จองค์ปฐม ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญมาก ซึ่งสมเด็จองค์ปฐมได้ชี้สถานที่ให้ เป็นบริเวณที่มีพระบรมสารีริกธาตุสำคัญมาก และเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้คนเดินผ่านไปมา จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ให้ช่างทำการก่อสร้างมณฑปของสมเด็จองค์ปฐม ณ สถานที่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

    มาพูดถึงวัสดุที่จะใช้สร้างสมเด็จองค์ปฐม สร้างหน้าตักสี่ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะ แล้วก็ผสมทองคำ เฉพาะเพชรที่ประดับเรือนแก้วหรือว่าผ้าทิพย์ มีราคาประมาณเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นบาทเเศษ แต่ไม่ใช่เพชรจริงๆ ราคาเพชรเม็ดหนึ่งประมาณ 12-13บาทเท่านั้น ก็รวมความว่า ความสำคัญเนื่องในการสร้างองค์ปฐม คือว่าคนไม่เคยคิด หรือว่าอาจจะคิดบ้างก็ไม่ทราบ ว่า พระพุทธเจ้าจริง ๆ ที่มีความลำบากมากคือ “องค์ต้น” เพราะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นครูมาก่อน ต้องลำบากบุกมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีแบบ เป็นเหตุดลใจให้ตั้งใจคิดจะเป็นพระพุทะเจ้า ต้องใช้เวลาถึง 40อสงไขยกัปเศษ จึงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้น การหล่อรูปองค์ปฐมนี้จึงมีอานิสงส์มาก การหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม จึงได้ทำการเททองหล่อ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นองค์ประธานจับสายสิญจน์ ในการหล่อพระพุทธรูป โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อทำการเททองลงในเบ้าที่ช่างเตรียมไว้ โดยใช้ทองคำที่ญาติโยมร่วมกันถวาย ประมาณ 78 กิโลกรัม

    วันที่ 16 พฤษภาคม 2535 เป็นวันวิสาขบูชา พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ขึ้นประดิษฐานบนแท่นภายในมณฑป ซึ่งเดิมพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม แต่เนื่องจากการตกแต่งพระวิหารก็ดี ยังไม่เรียบร้อย จึงต้องเลื่อนไป

    วันที่ 13 มีนาคม 2536 เป็นวันเริ่มงานทำบุญประจำปีของวัดท่าซุง และในวันที่ 14 มีนาคม 2536 ได้นิมนต์พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา มาเป็นประธาน และได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมไว้ในพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป ท่านพระครูปลัดอนันต์ พุทธญาโณ เจ้าอาวาสวุดท่าซุง ได้อาราธนาพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นำพระเกตุมาลามาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วอัญเชิญไปสวมที่พระเศียรของพระพุทธรูป แต่เนื่องจากการนำขึ้นไปลำบากและสูง พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จึงมีบัญชาให้ท่านเจ้าอาวาสนำขึ้นไปแทน เมื่อเสร็จพิธี พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวว่า “พระองค์นี้มีลาภมากนะ”

    ส่วนอานิสงส์ของการสร้าง สมเด็จองค์ปฐม ลุง 2ลุง นายบัญชีกับลุงพุฒิ (หมายถึงท่านพระยายม) ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่…บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชี สีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ท่านบอกถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก เพราะว่าการสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไป ที่เขามีน้อย ๆ บาทสองบาท สิบสตางค์ยี่สิบสตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่าบัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอกมันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด

    การหล่อสมเด็จองค์ปฐมด้วยทองคำนี่ อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทองไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น

    (คัดมาจากหนังสือประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี)

    ***************************************************************

    คำสอนสมเด็จองค์ปฐมบรมครู (สมเด็จพระพุทธสิขีทศพล ที่ 1)

    หลวงพ่อได้เมตตา สรุปใจความสั้นๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้…..

    “ท่านทั้งหลาย การหลบหลีก ไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เป็นของไม่ยาก
    1. ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
    2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้(ด้วยความจริงใจ)
    3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
    4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหมในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพานได้ในที่สุด”

    หมายเหตุ : เทศน์ที่ ”เทวสภา” วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.

    **********************************************************

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงค้าขาย (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ผ้ายันต์ธงค้าขาย (ธงเหลือง) หลวงพ่อนำจีวรที่ห่มหลวงพ่อ 4 พระองค์ในสมัยนั้นมาตัดทำเป็นธง สร้างเมื่อปีพ.ศ.2520 แจกเนื่องในงานผูกพัทธสีมา 24 เมษายน 2520 มีลักษณะการปั๊มอยู่ 2แบบ คือ
    1) ปั๊มยันต์ท้าวมหาชมภู พร้อมข้อความ “งานผูกพัทธสีมา ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐”
    2) ปั๊มตรายางวงกลมมีรูปพัทธสีมาอยู่ด้านใน
    พุทธคุณเด่นเรื่องการค้าการขายทำให้คล่องตัว ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา

    *******************************************
    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
    หลวงพ่อ 4พระองค์ มีดังนี้คือ
    1) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน)
    2) หลวงปู่ใหญ่ (อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกวัดท่าซุง)
    3) หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    4) หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค

    แต่หลังจากหลวงพ่อได้ละสังขาร ทางวัดก็ได้นำรูปปั้นหลวงพ่อมาตั้งด้วยอีกองค์ เราจึงเรียกว่า “หลวงพ่อ 5พระองค์” ในปัจจุบัน

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงท่านปู่พระอินทร์ หลวงพี่สมปอง บ้านสบายใจ (สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    ผืนนี้หลวงพี่สมปองจัดสร้าง ซึ่งบางท่านอาจจะไม่รู้ไม่ทราบ เห็นกันตามตลาดจะนึกว่าเป็นของหลวงพ่อ บูชากันมาแบบเข้าใจผิดกัน นำมาให้ชมให้ศึกษากัน

    Read more
  • ผ้ายันต์ ผ้ายันต์-โชว์

    ผ้ายันต์ธงท้าวมหาชมภู (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    หลวงพ่อท่านกล่าวถึงผ้ายันต์เขียวผ้ายันต์แดงนี้ไว้ว่า ทำขึ้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทหารที่เข้าสงครามโดยเฉพาะ แต่ไม่รับรองในด้านคงกระพันชาตรี ท่านเจ้าของยันต์รับรองว่าจะไม่ตายโหง ถ้าเคราะห์ร้ายจริง ๆ จะยอมให้แค่เสียเลือดแต่กระดูกจะไม่หัก ถ้าถึงที่ตาย จะให้กลับมาตายที่บ้าน ท่านผู้รับไปจะต้องใช้ในเมื่อความจำเป็นบังคับเท่านั้น เช่น ต้องรบเพื่อป้องกันประเทศชาติ หรือป้องกันทรัพย์สมบัติ และชีวิตเมื่อถูกรุกราน ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ผ้ายันต์นี้จะไม่ให้ผลแด่ท่านเลย

    ประโยชน์จากผ้ายันต์
    ๑. ผ้ายันต์สีแดง (ธงท่านท้าวมหาชมภู) มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องจากอุบัติเหตุ และโรคระบาดต่าง ๆ เช่น ไข้ป่า เป็นต้น อันตรายจะมีแด่ท่านผู้มียันต์นี้อย่างมากก็เพียงเนื้อแตก หนังแตก จะไม่มีอันตรายถึงกระดูกหัก หรือสิ้นชีวิตในระหว่างที่ ยังไม่ถึงอายุขัย

    ๒. ผ้ายันต์สีเขียว (ธงพระอินทร์) จะช่วยคุ้มครองหมู่คณะที่ร่วมปฏิบัติงานร่วมกัน ถ้าเขาเหล่านั้นต้องการให้คุ้มครอง
    อาราธนา การอาราธนาขอให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และครูอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา จนถึงหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และท่านเจ้าของธงเป็นที่สุด แล้วให้อธิษฐานตามที่ตนปราถนา (หมายถึงการคุ้มครอง) ไม่ใช่ขอหวย เมื่ออธิษฐานแล้วให้ปลุกด้วยคาถาปลุกของคนทั่วไปของหลวงพ่อปาน ว่าดังต่อไปนี้

    คาถาปลุก

    “อิทธิฤทธิ์ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุนี้ด้วยเถิด”

    ผ้านี้ทำเพียงหนึ่งพันชุด และแจกในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๒ ซึ่งตรงกับ เดือนห้า ขึ้นห้าค่ำ วันเสาร์ เป็นวันไหว้ครู

    **********************************************

    สังเกตอักขระยันต์ทั้ง2ผืนจะคนละแบบกัน แบบผืนด้านบนจะเป็นแบบที่เราพบเห็นได้ทั่วไป แต่ส่วนผืนด้านล่างตัวอักขระยันต์จะตัวเล็กกว่า สร้างออกมาในยุคแรกๆ ไม่ค่อยมีให้เห็นกันนัก หาชมยาก

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงท้าวมหาชมภู หลวงพี่สมปอง บ้านสบายใจ (สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    ผืนนี้หลวงพี่สมปองจัดสร้าง ซึ่งบางท่านอาจจะไม่รู้ไม่ทราบ เห็นกันตามตลาดจะนึกว่าเป็นของหลวงพ่อ บูชากันมาแบบเข้าใจผิดกัน นำมาให้ชมให้ศึกษากัน

    —————————————————————————————————————

    ***เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย***
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวถึงผ้ายันต์แดงผืนที่ท่านสร้างไว้ว่า ทำขึ้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทหารที่เข้าสงครามโดยเฉพาะ แต่ไม่รับรองในด้านคงกระพันชาตรี ท่านเจ้าของยันต์รับรองว่าจะไม่ตายโหง ถ้าเคราะห์ร้ายจริง ๆ จะยอมให้แค่เสียเลือดแต่กระดูกจะไม่หัก ถ้าถึงที่ตาย จะให้กลับมาตายที่บ้าน ท่านผู้รับไปจะต้องใช้ในเมื่อความจำเป็นบังคับเท่านั้น เช่น ต้องรบเพื่อป้องกันประเทศชาติ หรือป้องกันทรัพย์สมบัติ และชีวิตเมื่อถูกรุกราน ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ผ้ายันต์นี้จะไม่ให้ผลแด่ท่านเลย

    ประโยชน์จากผ้ายันต์
    ผ้ายันต์สีแดง (ธงท่านท้าวมหาชมภู) มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องจากอุบัติเหตุ และโรคระบาดต่าง ๆ เช่น ไข้ป่า เป็นต้น อันตรายจะมีแด่ท่านผู้มียันต์นี้อย่างมากก็เพียงเนื้อแตก หนังแตก จะไม่มีอันตรายถึงกระดูกหัก หรือสิ้นชีวิตในระหว่างที่ ยังไม่ถึงอายุขัย

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงท้าวมหาพรหม (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    เป็นผ้ายันต์ผืนสีขาวมีอักขระพิมพ์ด้วยหมึกสีแดง มีการสร้างด้วยกันหลายวาระ ภายหลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมรณะภาพแล้ว พุทธคุณเด่นๆ สำหรับผ้ายันต์ชุดนี้ จะเด่นทางด้านเมตตา โชคลาภ ปัดเป่าอุปสรรคต่างๆนาๆ รวมถึงหากนำไปปักไว้กลางทุ่งนา หรือไร่ สวน จะช่วยป้องกัน เพลี้ยกันแมลงได้อย่างดี

    ส่วนวิธีการอาราธนา ก็คล้ายกับวัตถุมงคลอื่นๆ คือ ให้ตั้งนะโม 3 จบ จากนั้นขอให้อาราธนาคุณพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด มีหลวงปู่ปานและหลวงพ่อ คุณพรหม คุณเทวดาทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านท้าวสหัสบดีพรหม ให้ท่านช่วยสงเคราะห์ในเรื่อง…..(ตามแต่อธิษฐาน)….

    แล้วปลุกด้วยคาถาของหลวงปู่ปานคือ “ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่ง แก่มะอะอุนี้เถิด”

    ********************************************************************************************************

    อ้างอิงบางตอนจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ มีนาคม ๒๕๓๘

    สมัยหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ เกิดเพลี้ยกระโดด มันกินข้าวเป็นแสนๆล้านๆ ไร่ หลวงพ่อ ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ท่านบอกว่า นันต์ แกลองบอกกับชาวบ้านเขาซิ ให้ว่าคาถาตัวไหน ก็ไม่รู้ แล้วเขียนไปปักที่กลางนา เราก็จำไม่ได้ ไม่ค่อยได้สนใจมาก พอคุยปุ๊บท่านก็ เข้าห้องน้ำ ท่านอยู่ในห้องน้ำท่านก็บอก

    เฮ้ย….นันต์ ที่พูดนั่น ท่านเจ้าของคาถาเขามาเลย
    ท้าวมหาพรหมมาบอก เขียนแค่นั้นไม่พอนะ ต้องเต็มตัวเลย เขียนว่า
    พรหมาจะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ

    ตอนนั้นท่านก็ยังไม่ได้ทำนี่ เราก็ให้พระที่อื่นทำ ทำแล้วก็เกิดมีผลเข้า มีผลชาวบ้าน เขาบอกเออ..ดี ไปปักที่นาแล้วเพลี้ยทีนี้ไม่เข้าก็จริง แต่เรามาดูคาถาที่แปลแล้ว เป็นคาถาปัดอุปสรรค ลองปรึกษากับพระ ไปปั๊มทีซิ จะทำเสาร์ห้าด้วย ทีนี้ก็เกิดทำเข้ามาแล้ว ก็เราไม่รู้ผลจะเป็นยังไงนะ ใช่ไหม

    พระชัยวัฒน์นี่ พอทำวันเสาร์ห้า เสร็จก็ ไปเขาคิชฌกูฏ ที่จันทบุรีเลย เราก็ไม่รู้ผล ว่าเป็นยังไงเพิ่งทำมาได้ไม่กี่วันนี่ ท่านชัยวัฒน์เขามาเล่าให้ฟัง บอกไอ้ปั๊มน้ำมันนี่ เขาเอายันต์ไปให้ เขาก็บอกเอ๊ะ…แปลกใจจังเลย คนเข้าปั๊มเต็มเลย เราบอกค่อยๆ พูดนะ เดี๋ยวจะหาโฆษณานี่ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ แต่เป็นคาถากันอุปสรรค กันเสนียดจัญไร อะไรอย่างนี้ กันอุปสรรค แต่ที่แปลดูคาถามหาลาภนี่จะเป็นกันอุปสรรค กันอุปสรรคทั้งหลาย

    ” หรือจะเป็นอุปสรรคหมดไปแล้ว ลาภก็เลยเข้ามา ”

    ท่านบอกปักกลางนา ทำเป็นธงไปปัก ก่อนปักนั้นให้สัคเคด้วย สัคเค ใครสัคเคไม่เป็น ก็ไปหัดท่องให้ได้ สัคเค อธิษฐานขอให้ธงนี้ ป้องกันอุปสรรคทั้งหลาย อะไรนี่ คือไปปักที่กลางนาก็มีผลนี่ มีผลมาแล้วพวกลองดูน่ะ เราไม่มีนาก็ปักที่บ้านได้ กันอุปสรรคได้ หรือไม่ก็เอาไว้ ในกระเป๋าสตางค์

    Read more
  • ผ้ายันต์ ผ้ายันต์-โชว์

    ผ้ายันต์ธงพระแม่โพสพ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ผ้ายันต์ธงพระแม่โพสพ หรือที่เราจะเรียกกันติดปากว่า “ผ้ายันต์ธงฟ้า” พุทธคุณใช้ป้องกันเพลี้ย กันแมลง หรือถ้าเข้าไปอยู่ในป่าก็จะไม่อดตาย

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ผืนเล็ก (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ความรู้เรื่อง ธงมหาพิชัยสงคราม

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า เป็น ธงออกศึกของพระร่วง ในสมัยก่อน หลวงพ่อท่านได้ตำราการทำยันต์ธงมหาพิชัยสงครามนี้ มาจาก อ.แจง ชาวสวรรคโลก ซึ่ง อ.แจงนี้ เป็น ฆราวาส แต่ทรงสมาบัติ 8 ธงมหาพิชัยสงครามนี้ หากนำทัพเข้าสู่สงครามจะไม่ประสบกับความพ่ายแพ้ หลวงพ่อท่านเคยกรุณาบอกไว้ว่า ผืนเดียวคลุมทั้งฐาน หมายถึง ถ้ามีผ้ายันต์นี้ ผืนเดียวสามารถคุ้มครองได้ทั้งฐานทัพครับ ไม่ว่าจะสร้างเป็นค่าย หรือแค่บังเกอร์ ตัวอย่างมีให้เห็น ทหารที่เคยไปรบด้านตาพระยา น่าจะรู้ซึ้งถึง พระพุทธคุณของธงมหาพิชัยสงครามนี้ดี

    มีเกร็ดอยู่อีกหน่อยว่า หลวงพ่อท่านสั่งห้ามว่า ถ้าได้ธงผืนนี้ไปแล้ว ห้ามปลุกโดยเด็ดขาด เพราะอานุภาพสูงมาก ถ้าไปปลุกธงมหาพิชัยสงครามนี้ อาจถึงตายได้ ในตำราสมุดพระร่วงได้จารึกตำราสร้างธงมหาพิชัยสงครามนี้เเละยังรวมไปถึงวิธีการเป่ายันต์เกราะเพชรของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    ปัจจุบัน ตำรานี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ถวายให้กับในหลวงไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 แล้ว เพราะหลวงพ่อท่านเป็นลูกหลานคนสุดท้ายของตระกูลพระร่วงที่สืบเขื้อสายมา ในส่วนของตำราพระร่วงนี้ ถ้าบุคคลอื่นได้ตำรานี้ไปก็ไม่สามารถทำวัตถุมงคลต่างๆได้ถึงอานุภาพสูงสุด อย่างมากก็ได้ไม่เกิน 10% เพราะท่านเจ้าของตำราคือ ท่านผกาพรหม ท่านไม่อนุญาต ดังนั้น ตามคติคนเรียนวิชาแต่โบราณ ถ้าสิ้นสุดสายการสืบทอดวิชา ถ้าจะเริ่มวิชาใหม่ต้องไปขอต่อพระเจ้าแผ่นดินให้พระเจ้าเเผ่นดินครอบครูให้ หลวงพ่อท่านทราบข้อบังคับนี้
    ท่านจึงถวายตำรานี้แด่ ในหลวง

    ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ส่งเจ้าพระยาโกษาปาน ไปทำสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ซึ่งได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า… เมื่อเรือสำเภาอันจะเข้าสู่กรุงฝรั่งเศสนั้น จะต้องผ่านวังน้ำอันวนเชี่ยวใหญ่ เรือสินค้ามากมายถูกดูดลงสู่วังน้ำวน จมลงนับร้อย เรือสำเภาอันเจ้าพระยาโกษาปานราชทูตโดยสารมานั้น จะถูกดูดเข้าวังวน ปะขาวอาจารย์ของเจ้าพระยาโกษาปาน ได้ตั้งพิธีขึ้น ระลึกถึงพุทธานุภาพ ทำอาโปกสิณ บัดหนึ่งก็เกิดลมสลาตันยกเรือสำเภาของพระยาโกษาปาน ข้ามผ่านวังน้ำวนนั้นไปเป็นที่อัศจรรย์ พอในเวลาเที่ยง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงให้ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แม่นปืนสองหมู่ หมู่หนึ่งชุดแต่งกายแดงร้อยคน หมู่หนึ่งชุดแต่งกายดำร้อยคน ตั้งกองอยู่ตรงข้ามกัน ห่างกันสักสี่สิบห้าสิบวา ฝ่ายทหารชุดแต่งกายแดงทั้งร้อยคน ยิงปืนไปยังหน่วยทหารแต่งกายดำ ลูกปืนเข้าสู่ลำกล้องของทหารแต่งกายดำทั้งร้อยกระบอก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม มีทหารแม่นปืนเช่นนี้หรือไม่ ? เจ้าพระยาโกษาปานตอบว่า ในเมืองสยามไม่มีทหารแม่นปืนเหมือนเช่นในฝรั่งเศส เพราะอาวุธปืนไม่อาจทำอันตรายทหารสยามได้ จึงไม่มีความจำเป็นในการตั้งกองทหารปืน พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ จึงตรัสว่า มีเหตุเช่นนั้นจริงหรือ? …เจ้าพระยาโกษาปานจึงกราบทูลตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้า จะขอแสดงให้ทอดพระเนตรในวันพรุ่ง โดยขอให้หน่วยทหาร ทั้งชุดแดงและชุดดำ เป็นผู้ยิงปืน….ในวันรุ่งขึ้น ปะขาวได้ตั้งศาลเพียงตา แลวางสายสิญจน์รอบปักธงธวัชแล้ว ให้กลาสีเรือชายสยามทั้งร้อยเข้าไปอยู่ภายในวงรอบสายสิญจน์ มลฑลพิธี ภายนอกห่างไปสักยี่สิบวา ทหารชุดแต่งกายแดงและทหารชุดแต่งกายดำพร้อมปืนยืนรออยู่ เมื่อปะขาวผู้ทรงศีลให้สัญญาณ เจ้าพระยาโกษาปาน จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รับสั่งให้ทหารปืนทั้งหมด เล็งยิงไปยังกลาสีเรือชายสยามทั้ง ๑๐๐ คนนั้น ..เสียงปืน ๒๐๐ กระบอก ดังสนั่นหน้าพระที่นั่ง ควันปืนอบอวลคลุ้งกระจาย ลูกกระสุนปืนทั้ง ๒๐๐ นัด มิได้ระคาย แม้ชายเสื้อทหารสยามทั้งหลาย เป็นที่อัศจรรย์ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงทรงตรัสถามเจ้าพระยาโกษาปานว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดทหารเช่นนี้อีกเท่าใด? เจ้าพระยาโกษาปานกราบทูลตอบว่า ชายสยามเหล่านี้ เป็นเพียงประชาชนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไปที่เกณฑ์มาเป็นกลาสีเรือเท่านั้น ส่วนทหารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้นเยี่ยมยอดกว่านี้มากมาย (ความจริงแล้ว กลาสีเรือทั้ง ๑๐๐ คนนี้ คือหน่วยอาทมาต ที่ได้ศึกษาวิชาชาตรี เจนจบในตำหรับพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดีแล้ว) …พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ตรัสสรรเสริญ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่ามีบารมีที่มีทหารหาญ ที่แกร่งกล้าและคงทนแก่ศาสตราวุธ จึงสามารถรักษาประเทศสยาม ให้เป็นเอกราชไว้ได้…

    …ธงมหาพิชัยสงครามนี้จะเป็น ธงที่ใช้ในการออกรบในสมัยพระร่วงเจ้า ได้รับชัยชนะต่อข้าศึกทั้งหลาย…

    …ภายในธง ประกอบด้วย พระบารมี แห่ง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์เป็นหลัก…

    …ดังในยอดธง มี พุทธะสังมิ ซึ่งเป็น คำย่อของ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คัจฉามิ เป็นการสร้างความมั่นคงต่อ พระรัตนะตรัย เป็นการประกาศขอยึดเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด …

    …ถัดมา คือ อะ สัง วิ สุ โล พุ สะ พุ ภะ ซึ่งเป็นคำย่อ ของพุทธคุณ อันมี ตั้งแต่ อะระหัง จนถึง ภควาติ…เป็นการนำใจที่เคารพแล้ว เข้าถึงความเป็นพุทธะ คือความสะอาด สว่าง สงบ ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้ตรัสสั่งและสอน…

    …ถัดมาอีกในวงกลมแต่ล่ะวง นับได้ 10วง เปรียบถึง บารมี 10 ประการ ภายในวงใหญ่ ได้อัญเชิญรูปภาพเปรียบแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ตรงการภายในวงกลม คือองค์สมเด็จองค์ปฐมต้นสุด รอบมีรูปองค์พระทั้ง 28พระองค์ตามปรากฏในพระคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นต้น รอบกลับบัวมี คาถาบารมี 30ทัศ ซึ่งกลับบัวเทียบเสมือนรัศมีแห่งพระพุทธคุณ พระบารมีที่แผ่กระจายปกคลุมผู้ที่ได้ครอบครอง และทั่วไปโดยรอบด้าน…

    …กล่าวโดยสรุป ธงมหาพิชัยสงครามนี้ มีคุณทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกเป็นไปตามโลกธรรมต่างๆ ส่วนในทางธรรมแล้ว เปรียบประมาณค่ามิได้ คือ การเข้าถึงไตรสรณะคมณ์ การบำเพ็ญบารมี 10 ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อละสังโยชน์ 10ประการ เป็นทางแห่ง มรรคผลพระนิพพานในที่สุด…

    … ภายในดอกบัวใหญ่ที่ปรากฏภาพพระพุทธเจ้านั้น เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง 28พระองค์ กลีบบัวใหญ่บรรจุด้วยพระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้านั่นคือ บารมี 10 ประหนึ่งว่าวงกลมทั้ง 10วงบนยันต์ ก็คือบารมี 10 นั่นเอง ที่ยอดพุ่มของธง เป็นคำย่อของบท อิติปิโสฯ และบนยอดธงบรรจุคาถา พุท ธะ สัง มิ คือคำย่อของไตรสรณาคม ในวงย่อยแต่ละวง มีคำว่า พุท ธะ มะ อะ อุ นะ โม พุท ธา ยะ อยู่ด้วย ที่บัวดอกเล็กเป็นคาถา บารมี 30ทัศ บทว่า อิ ติ ปา ระ มิต ตา ติง สาฯ …

    …ยันต์นี้ไม่เพียงแต่มีชัยในทางโลกธรรม หากแต่เป็นเครื่องหมายเตือนพระโยคาวจรทั้งหลายว่า หัวใจของการชนะกิเลสทั้งปวงอาศัยบารมี 10 เป็นเครื่องประหาร เมื่อสามารถทรงบารมีทั้ง 10ประการครบถ้วน ท่านก็ชนะหมดโลก คือ ชนะกิเลสในใจของท่านทั้งหลายนั่นเอง …

    …จึงถือได้ว่าพุทธานุภาพของยันต์พิชัยสงครามนี้ เป็นคุณแก่ท่านที่มีไว้ครอบครองแท้จริง …

    …สงครามที่เหลืออยู่คือสงครามที่ท่านรบกับใจตัว ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ชนะสมดังปรารถนาเถิด…

    คาถาใช้ปลุก : *มะ อะ อุ – อุ อะ มะ – อะ มะ อุ

    แต่ถ้าไม่มี แค่ยันต์เกราะเพชรผืนเดียวพุทธานุภาพก็เกินบรรยายแล้ว

    วิธีใช้ผ้ายันต์ฯ ก่อนใช้ให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์อื่นๆ สืบๆกันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค – หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด แล้วปลุกด้วยคาถา ” พุท ธะ สัง มิ.

    “ผ้าธงมหาพิชัยสงครามจะมีผลประการใดบ้าง ก็ขอให้ท่านผู้ใช้ได้ทราบเอง เมื่อถึงวาระที่จำเป็น ทุกวันท่านให้อาราธนาเป็นปรกติ ตอนเช้าเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ และเวลาเย็นก่อนอาราธนาขอให้ระลึกถึงบารมีพระ พุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค – หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด แล้วอาราธนาว่าดังนี้” อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึงแก่มะอะอุนี้เถิด.”

    หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส ได้เมตตาเขียนหรือถอดคาถาในยันต์ไว้ดังนี้
    อะ – อรหัง สัมมาสัมพุทโธ
    อุ – อุตตะมัง ธัมม มัชฌะคา
    มะ – มหาสังฆัง ปะโพเธสิ อิจเจตังรตนัตตะยัง
    ยอดธง
    พุท-ธะ-สัง-มิ
    ย่อมาจากไตรสมณคมณ์-พุทธังสรณังคัจฉามิ ธรรมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ
    บนพานใต้เสาธง
    อะ สังอะ วิสังอะ สุวิสังอะ โลสุวิสังอะ ปุโลสุวิสังอะ สะปุโลสุวิสังอะ
    พุสะปุโลสุวิสังอะ ภะพุสะปุโลสุวิสังอะ
    ยันต์กลม 1
    ธา ลัง ถะ ตัง มะ ติ ตะ โน ยา
    กลมดำ 2
    ล้อมด้วย
    ระมิติงสา-พัญญูมาคะ-ตาธิมนุปัตโต-โสจะเตนะโม
    แถวกลาง
    ปิ ติ โพติ อิ ติธา ติ สัพ
    ถอดพิศดารมากจาก
    อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
    วงกลมแถว 3
    วงซ้าย นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)อนุโลม
    วงขวา นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)ปฏิโลม
    กลมแถว 4
    กลมซ้าย
    จะ ติ ยา ลัง มะ นา ธา ตัง ตะ
    กลมขวา
    ชิ ติ ยา โส มะ เต เน นา ชิ อะ เต สะ ตา สะ มะ เต ถุ ถะ ภะ สิ โล เพ วิ ติ มา ติน วะ ภะ ธา ชุ นุ นา มา ตะ นิ สะ เถ นิ รุ เม จะ

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ผืนใหญ่ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ความรู้เรื่อง ธงมหาพิชัยสงคราม

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า เป็น ธงออกศึกของพระร่วง ในสมัยก่อน หลวงพ่อท่านได้ตำราการทำยันต์ธงมหาพิชัยสงครามนี้ มาจาก อ.แจง ชาวสวรรคโลก ซึ่ง อ.แจงนี้ เป็น ฆราวาส แต่ทรงสมาบัติ 8 ธงมหาพิชัยสงครามนี้ หากนำทัพเข้าสู่สงครามจะไม่ประสบกับความพ่ายแพ้ หลวงพ่อท่านเคยกรุณาบอกไว้ว่า ผืนเดียวคลุมทั้งฐาน หมายถึง ถ้ามีผ้ายันต์นี้ ผืนเดียวสามารถคุ้มครองได้ทั้งฐานทัพครับ ไม่ว่าจะสร้างเป็นค่าย หรือแค่บังเกอร์ ตัวอย่างมีให้เห็น ทหารที่เคยไปรบด้านตาพระยา น่าจะรู้ซึ้งถึง พระพุทธคุณของธงมหาพิชัยสงครามนี้ดี

    มีเกร็ดอยู่อีกหน่อยว่า หลวงพ่อท่านสั่งห้ามว่า ถ้าได้ธงผืนนี้ไปแล้ว ห้ามปลุกโดยเด็ดขาด เพราะอานุภาพสูงมาก ถ้าไปปลุกธงมหาพิชัยสงครามนี้ อาจถึงตายได้ ในตำราสมุดพระร่วงได้จารึกตำราสร้างธงมหาพิชัยสงครามนี้เเละยังรวมไปถึงวิธีการเป่ายันต์เกราะเพชรของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    ปัจจุบัน ตำรานี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ถวายให้กับในหลวงไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 แล้ว เพราะหลวงพ่อท่านเป็นลูกหลานคนสุดท้ายของตระกูลพระร่วงที่สืบเขื้อสายมา ในส่วนของตำราพระร่วงนี้ ถ้าบุคคลอื่นได้ตำรานี้ไปก็ไม่สามารถทำวัตถุมงคลต่างๆได้ถึงอานุภาพสูงสุด อย่างมากก็ได้ไม่เกิน 10% เพราะท่านเจ้าของตำราคือ ท่านผกาพรหม ท่านไม่อนุญาต ดังนั้น ตามคติคนเรียนวิชาแต่โบราณ ถ้าสิ้นสุดสายการสืบทอดวิชา ถ้าจะเริ่มวิชาใหม่ต้องไปขอต่อพระเจ้าแผ่นดินให้พระเจ้าเเผ่นดินครอบครูให้ หลวงพ่อท่านทราบข้อบังคับนี้
    ท่านจึงถวายตำรานี้แด่ ในหลวง

    ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ส่งเจ้าพระยาโกษาปาน ไปทำสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ซึ่งได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า… เมื่อเรือสำเภาอันจะเข้าสู่กรุงฝรั่งเศสนั้น จะต้องผ่านวังน้ำอันวนเชี่ยวใหญ่ เรือสินค้ามากมายถูกดูดลงสู่วังน้ำวน จมลงนับร้อย เรือสำเภาอันเจ้าพระยาโกษาปานราชทูตโดยสารมานั้น จะถูกดูดเข้าวังวน ปะขาวอาจารย์ของเจ้าพระยาโกษาปาน ได้ตั้งพิธีขึ้น ระลึกถึงพุทธานุภาพ ทำอาโปกสิณ บัดหนึ่งก็เกิดลมสลาตันยกเรือสำเภาของพระยาโกษาปาน ข้ามผ่านวังน้ำวนนั้นไปเป็นที่อัศจรรย์ พอในเวลาเที่ยง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงให้ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แม่นปืนสองหมู่ หมู่หนึ่งชุดแต่งกายแดงร้อยคน หมู่หนึ่งชุดแต่งกายดำร้อยคน ตั้งกองอยู่ตรงข้ามกัน ห่างกันสักสี่สิบห้าสิบวา ฝ่ายทหารชุดแต่งกายแดงทั้งร้อยคน ยิงปืนไปยังหน่วยทหารแต่งกายดำ ลูกปืนเข้าสู่ลำกล้องของทหารแต่งกายดำทั้งร้อยกระบอก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม มีทหารแม่นปืนเช่นนี้หรือไม่ ? เจ้าพระยาโกษาปานตอบว่า ในเมืองสยามไม่มีทหารแม่นปืนเหมือนเช่นในฝรั่งเศส เพราะอาวุธปืนไม่อาจทำอันตรายทหารสยามได้ จึงไม่มีความจำเป็นในการตั้งกองทหารปืน พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ จึงตรัสว่า มีเหตุเช่นนั้นจริงหรือ? …เจ้าพระยาโกษาปานจึงกราบทูลตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้า จะขอแสดงให้ทอดพระเนตรในวันพรุ่ง โดยขอให้หน่วยทหาร ทั้งชุดแดงและชุดดำ เป็นผู้ยิงปืน….ในวันรุ่งขึ้น ปะขาวได้ตั้งศาลเพียงตา แลวางสายสิญจน์รอบปักธงธวัชแล้ว ให้กลาสีเรือชายสยามทั้งร้อยเข้าไปอยู่ภายในวงรอบสายสิญจน์ มลฑลพิธี ภายนอกห่างไปสักยี่สิบวา ทหารชุดแต่งกายแดงและทหารชุดแต่งกายดำพร้อมปืนยืนรออยู่ เมื่อปะขาวผู้ทรงศีลให้สัญญาณ เจ้าพระยาโกษาปาน จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รับสั่งให้ทหารปืนทั้งหมด เล็งยิงไปยังกลาสีเรือชายสยามทั้ง ๑๐๐ คนนั้น ..เสียงปืน ๒๐๐ กระบอก ดังสนั่นหน้าพระที่นั่ง ควันปืนอบอวลคลุ้งกระจาย ลูกกระสุนปืนทั้ง ๒๐๐ นัด มิได้ระคาย แม้ชายเสื้อทหารสยามทั้งหลาย เป็นที่อัศจรรย์ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงทรงตรัสถามเจ้าพระยาโกษาปานว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดทหารเช่นนี้อีกเท่าใด? เจ้าพระยาโกษาปานกราบทูลตอบว่า ชายสยามเหล่านี้ เป็นเพียงประชาชนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไปที่เกณฑ์มาเป็นกลาสีเรือเท่านั้น ส่วนทหารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้นเยี่ยมยอดกว่านี้มากมาย (ความจริงแล้ว กลาสีเรือทั้ง ๑๐๐ คนนี้ คือหน่วยอาทมาต ที่ได้ศึกษาวิชาชาตรี เจนจบในตำหรับพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดีแล้ว) …พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ตรัสสรรเสริญ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่ามีบารมีที่มีทหารหาญ ที่แกร่งกล้าและคงทนแก่ศาสตราวุธ จึงสามารถรักษาประเทศสยาม ให้เป็นเอกราชไว้ได้…

    …ธงมหาพิชัยสงครามนี้จะเป็น ธงที่ใช้ในการออกรบในสมัยพระร่วงเจ้า ได้รับชัยชนะต่อข้าศึกทั้งหลาย…

    …ภายในธง ประกอบด้วย พระบารมี แห่ง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์เป็นหลัก…

    …ดังในยอดธง มี พุทธะสังมิ ซึ่งเป็น คำย่อของ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คัจฉามิ เป็นการสร้างความมั่นคงต่อ พระรัตนะตรัย เป็นการประกาศขอยึดเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด …

    …ถัดมา คือ อะ สัง วิ สุ โล พุ สะ พุ ภะ ซึ่งเป็นคำย่อ ของพุทธคุณ อันมี ตั้งแต่ อะระหัง จนถึง ภควาติ…เป็นการนำใจที่เคารพแล้ว เข้าถึงความเป็นพุทธะ คือความสะอาด สว่าง สงบ ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้ตรัสสั่งและสอน…

    …ถัดมาอีกในวงกลมแต่ล่ะวง นับได้ 10วง เปรียบถึง บารมี 10 ประการ ภายในวงใหญ่ ได้อัญเชิญรูปภาพเปรียบแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ตรงการภายในวงกลม คือองค์สมเด็จองค์ปฐมต้นสุด รอบมีรูปองค์พระทั้ง 28พระองค์ตามปรากฏในพระคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นต้น รอบกลับบัวมี คาถาบารมี 30ทัศ ซึ่งกลับบัวเทียบเสมือนรัศมีแห่งพระพุทธคุณ พระบารมีที่แผ่กระจายปกคลุมผู้ที่ได้ครอบครอง และทั่วไปโดยรอบด้าน…

    …กล่าวโดยสรุป ธงมหาพิชัยสงครามนี้ มีคุณทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกเป็นไปตามโลกธรรมต่างๆ ส่วนในทางธรรมแล้ว เปรียบประมาณค่ามิได้ คือ การเข้าถึงไตรสรณะคมณ์ การบำเพ็ญบารมี 10 ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อละสังโยชน์ 10ประการ เป็นทางแห่ง มรรคผลพระนิพพานในที่สุด…

    … ภายในดอกบัวใหญ่ที่ปรากฏภาพพระพุทธเจ้านั้น เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง 28พระองค์ กลีบบัวใหญ่บรรจุด้วยพระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้านั่นคือ บารมี 10 ประหนึ่งว่าวงกลมทั้ง 10วงบนยันต์ ก็คือบารมี 10 นั่นเอง ที่ยอดพุ่มของธง เป็นคำย่อของบท อิติปิโสฯ และบนยอดธงบรรจุคาถา พุท ธะ สัง มิ คือคำย่อของไตรสรณาคม ในวงย่อยแต่ละวง มีคำว่า พุท ธะ มะ อะ อุ นะ โม พุท ธา ยะ อยู่ด้วย ที่บัวดอกเล็กเป็นคาถา บารมี 30ทัศ บทว่า อิ ติ ปา ระ มิต ตา ติง สาฯ …

    …ยันต์นี้ไม่เพียงแต่มีชัยในทางโลกธรรม หากแต่เป็นเครื่องหมายเตือนพระโยคาวจรทั้งหลายว่า หัวใจของการชนะกิเลสทั้งปวงอาศัยบารมี 10 เป็นเครื่องประหาร เมื่อสามารถทรงบารมีทั้ง 10ประการครบถ้วน ท่านก็ชนะหมดโลก คือ ชนะกิเลสในใจของท่านทั้งหลายนั่นเอง …

    …จึงถือได้ว่าพุทธานุภาพของยันต์พิชัยสงครามนี้ เป็นคุณแก่ท่านที่มีไว้ครอบครองแท้จริง …

    …สงครามที่เหลืออยู่คือสงครามที่ท่านรบกับใจตัว ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ชนะสมดังปรารถนาเถิด…

    คาถาใช้ปลุก : *มะ อะ อุ – อุ อะ มะ – อะ มะ อุ

    แต่ถ้าไม่มี แค่ยันต์เกราะเพชรผืนเดียวพุทธานุภาพก็เกินบรรยายแล้ว

    วิธีใช้ผ้ายันต์ฯ ก่อนใช้ให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์อื่นๆ สืบๆกันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค – หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด แล้วปลุกด้วยคาถา ” พุท ธะ สัง มิ.

    “ผ้าธงมหาพิชัยสงครามจะมีผลประการใดบ้าง ก็ขอให้ท่านผู้ใช้ได้ทราบเอง เมื่อถึงวาระที่จำเป็น ทุกวันท่านให้อาราธนาเป็นปรกติ ตอนเช้าเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ และเวลาเย็นก่อนอาราธนาขอให้ระลึกถึงบารมีพระ พุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค – หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด แล้วอาราธนาว่าดังนี้” อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึงแก่มะอะอุนี้เถิด.”

    หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส ได้เมตตาเขียนหรือถอดคาถาในยันต์ไว้ดังนี้
    อะ – อรหัง สัมมาสัมพุทโธ
    อุ – อุตตะมัง ธัมม มัชฌะคา
    มะ – มหาสังฆัง ปะโพเธสิ อิจเจตังรตนัตตะยัง
    ยอดธง
    พุท-ธะ-สัง-มิ
    ย่อมาจากไตรสมณคมณ์-พุทธังสรณังคัจฉามิ ธรรมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ
    บนพานใต้เสาธง
    อะ สังอะ วิสังอะ สุวิสังอะ โลสุวิสังอะ ปุโลสุวิสังอะ สะปุโลสุวิสังอะ
    พุสะปุโลสุวิสังอะ ภะพุสะปุโลสุวิสังอะ
    ยันต์กลม 1
    ธา ลัง ถะ ตัง มะ ติ ตะ โน ยา
    กลมดำ 2
    ล้อมด้วย
    ระมิติงสา-พัญญูมาคะ-ตาธิมนุปัตโต-โสจะเตนะโม
    แถวกลาง
    ปิ ติ โพติ อิ ติธา ติ สัพ
    ถอดพิศดารมากจาก
    อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
    วงกลมแถว 3
    วงซ้าย นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)อนุโลม
    วงขวา นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)ปฏิโลม
    กลมแถว 4
    กลมซ้าย
    จะ ติ ยา ลัง มะ นา ธา ตัง ตะ
    กลมขวา
    ชิ ติ ยา โส มะ เต เน นา ชิ อะ เต สะ ตา สะ มะ เต ถุ ถะ ภะ สิ โล เพ วิ ติ มา ติน วะ ภะ ธา ชุ นุ นา มา ตะ นิ สะ เถ นิ รุ เม จะ

    Read more
  • ผ้ายันต์ ผ้ายันต์-โชว์

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม รุ่นแรก (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม รุ่นนี้หลวงพ่อทำแจกครั้งแรกพร้อมแผ่นแนบ เดิมๆจากวัด ซึ่งเป็นยันต์ที่อยู่บนยอดธงออกรบสมัยโบราณ ตำราวิชานี้เป็นตำราพระร่วงที่หลวงพ่อเราสืบทอดมาเป็นท่านสุดท้าย..ถึงแม้ท่านอื่นนำไปทำผลมากที่สุดจะแค่ 10% เท่านั้น ท่านบอกไว้

    เรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำไว้ดังนี้

    ๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย
    ๒. ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร-ปล้น-ฆ่าเขา-โขโมยเขา ธงนี้ไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย
    ๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
    ๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับ ผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และ รูปยันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกัน ทุกประการ ใช้แทนกันได้
    ๕. เรื่องป้องกัน หรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่ หรือวาตภัย
    มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย

    *************************************************************

    ในสมัยนั้นผกค.มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศพล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้

    ๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร

    ๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)

    ๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา

    ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร

    เมื่อบรรยายจบ ปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาด ถามได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถามก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์

    ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่า ให้ปฏิบัติ ตลอดเวลาทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก

    ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ

    ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดีที่ นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก

    หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไปกทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น

    จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากห่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ

    วันที่ สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่นความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าวรู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน

    วันที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย

    ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็นผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา

    หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้
    ๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค.ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว

    ๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น

    ๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิ่งปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่

    ๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “ นะจังงัง ” ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง

    ๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี

    ๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็นผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก

    ๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค.ก็หายซ่าไปเลย

    เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มี

    ผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้

    แต่ก่อนจะจบขอสรุป เรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำไว้ดังนี้

    ๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น

    ๒.ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร-ปล้น-ฆ่าเขา-โขโมยเขา ธงนี้ไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย

    ๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)

    ๔. เวลาทำ พิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับ ผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และ รูปยันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกัน ทุกประการ ใช้แทนกันได้

    ๕. เรื่องป้องกัน หรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่ หรือวาตภัย
    มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย…สาธุ
    :เหตุการณ์ระหว่างปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ เล่าโดยพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามพร้อมธงชาติ 20×30นิ้ว (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ก่อนใช้ธงมหาพิชัยสงคราม ให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์สืบๆกันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด แล้วปลุกด้วยคาถา “พุท ธะ สัง มิ”

    แบบเย็บติดกับธงชาติ จะมีอยู่ด้วยกัน 3ขนาด คือ
    1) ขนาดผืนใหญ่ 20×30นิ้ว
    2) ขนาดผืนกลาง 8×11นิ้ว
    3) ขนาดผืนเล็ก 4.25×7นิ้ว

    **********************************************************************

    เรื่องเล่าอานุภาพ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม

    ในสมัยนั้นผกค.มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต.ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศพล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้

    ๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร
    ๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)
    ๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา

    ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถามได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถามก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่าให้ปฏิบัติตลอดเวลาทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดีที่ นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก

    หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไปกทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากห่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ

    วันที่สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่นความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าวรู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน

    วันที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็นผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา

    หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้
    ๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค.ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว
    ๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น
    ๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิ่งปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่
    ๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ นะจังงังขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง
    ๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มากจนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี
    ๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็นผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก
    ๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค.ก็หายซ่าไปเลย

    เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน ปฐมเทศนาความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มีผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบ ขอสรุปเรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงครามไว้ เพื่อเตือนความจำ ดังนี้

    ๑. ความศักดิ์สิทธิ์ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
    ๒. ผู้นำไปใช้หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจรปล้น-ฆ่าเขา-ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิงลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุออกท้ายทอยทุกราย
    ๓. ธงมหาพิชัยสงครามไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
    ๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงครามกับผ้ายันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการ ใช้แทนกันได้
    ๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน, พายุใหญ่ หรือวาตภัย มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย…สาธุ

    :เหตุการณ์ระหว่างปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ เล่าโดยพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวนคัดบางตอนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามพร้อมธงชาติ 4.25×7นิ้ว (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ก่อนใช้ธงมหาพิชัยสงคราม ให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์สืบๆกันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด แล้วปลุกด้วยคาถา “พุท ธะ สัง มิ”

    แบบเย็บติดกับธงชาติ จะมีอยู่ด้วยกัน 3ขนาด คือ
    1) ขนาดผืนใหญ่ 20×30นิ้ว
    2) ขนาดผืนกลาง 8×11นิ้ว
    3) ขนาดผืนเล็ก 4.25×7นิ้ว

    **********************************************************************

    สำหรับท่านที่ไม่ธงมหาพิชัยสงครามที่เย็บติดกับธงชาติแบบเดิมๆจากวัด แล้วหาไม่ได้..ต้องการจะทำเองบ้าง มีวิธีเย็บธงยันต์มหาพิชัยสงครามกับธงชาติ ดังนี้

    ให้ซื้อเข็มกับด้ายมาใหม่ (ไม่ให้ใช้ของเก่า) เวลาเย็บให้ภาวนาว่า “พุทธะสังมิ” ไปเรื่อยๆจนเย็บเสร็จ ส่วนเข็มกับด้ายเมื่อเย็บเสร็จแล้วให้เอาไปลอยน้ำ ห้ามนำเอามาใช้เย็บอย่างอื่นอีก

    วิธีใช้
    ตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปยืนที่ระเบียงห้องหรือที่โล่ง จุดธูป 7 ดอก ตั้งนะโม 3จบ แล้วอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการองค์ท้าวมหาราชทั้ง 4 และบริวารทั้งหมดของท่าน ขอบารมีท่านท้าวมหาราชทั่้ง 4 และบริวารทั้งหมดของท่าน ได้โปรดช่วยให้
    1. ข้าพเจ้าแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง
    2. ขอให้มีความคล่องตัวทุกประการ
    3. ขอให้นึกรู้ในสิ่งที่ควรรู้
    4. ขอให้ศัตรูที่คิดร้ายจงพินาศโดยฉับพลัน
    แล้ว่าบท “สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ” (พูดออกเสียง 7 จบ)
    ต่อด้วย “อิทธิ ฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุหนี้เถิด สาธุ” (คาถาของหลวงพ่อ เวลาจวนตัวคิดอะไรไม่ออก ให้ท่องคาถานี้ ท้าวมหาราชทั้ง 4และบริวาร จะเมตตาช่วยเรา)

    Read more
  • ๔. เครื่องราง ผ้ายันต์ ผ้ายันต์-โชว์

    ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามพร้อมธงชาติ 8×11นิ้ว (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ก่อนใช้ธงมหาพิชัยสงคราม ให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์สืบๆกันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด แล้วปลุกด้วยคาถา “พุท ธะ สัง มิ”

    แบบเย็บติดกับธงชาติ จะมีอยู่ด้วยกัน 3ขนาด คือ
    1) ขนาดผืนใหญ่ 20×30นิ้ว
    2) ขนาดผืนกลาง 8×11นิ้ว
    3) ขนาดผืนเล็ก 4.25×7นิ้ว

    **********************************************************************

    สำหรับท่านที่ไม่ธงมหาพิชัยสงครามที่เย็บติดกับธงชาติแบบเดิมๆจากวัด แล้วหาไม่ได้..ต้องการจะทำเองบ้าง มีวิธีเย็บธงยันต์มหาพิชัยสงครามกับธงชาติ ดังนี้

    ให้ซื้อเข็มกับด้ายมาใหม่ (ไม่ให้ใช้ของเก่า) เวลาเย็บให้ภาวนาว่า “พุทธะสังมิ” ไปเรื่อยๆจนเย็บเสร็จ ส่วนเข็มกับด้ายเมื่อเย็บเสร็จแล้วให้เอาไปลอยน้ำ ห้ามนำเอามาใช้เย็บอย่างอื่นอีก

    วิธีใช้
    ตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปยืนที่ระเบียงห้องหรือที่โล่ง จุดธูป 7 ดอก ตั้งนะโม 3จบ แล้วอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการองค์ท้าวมหาราชทั้ง 4 และบริวารทั้งหมดของท่าน ขอบารมีท่านท้าวมหาราชทั่้ง 4 และบริวารทั้งหมดของท่าน ได้โปรดช่วยให้
    1. ข้าพเจ้าแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง
    2. ขอให้มีความคล่องตัวทุกประการ
    3. ขอให้นึกรู้ในสิ่งที่ควรรู้
    4. ขอให้ศัตรูที่คิดร้ายจงพินาศโดยฉับพลัน
    แล้ว่าบท “สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ” (พูดออกเสียง 7 จบ)
    ต่อด้วย “อิทธิ ฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุหนี้เถิด สาธุ” (คาถาของหลวงพ่อ เวลาจวนตัวคิดอะไรไม่ออก ให้ท่องคาถานี้ ท้าวมหาราชทั้ง 4และบริวาร จะเมตตาช่วยเรา)

    Read more
  • ผ้ายันต์ ผ้ายันต์-โชว์

    ผ้ายันต์ธงเขียวท่านปู่พระอินทร์ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    หลวงพ่อท่านกล่าวถึงผ้ายันต์เขียวผ้ายันต์แดงนี้ไว้ว่า ทำขึ้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทหารที่เข้าสงครามโดยเฉพาะ แต่ไม่รับรองในด้านคงกระพันชาตรี ท่านเจ้าของยันต์รับรองว่าจะไม่ตายโหง ถ้าเคราะห์ร้ายจริง ๆ จะยอมให้แค่เสียเลือดแต่กระดูกจะไม่หัก ถ้าถึงที่ตาย จะให้กลับมาตายที่บ้าน ท่านผู้รับไปจะต้องใช้ในเมื่อความจำเป็นบังคับเท่านั้น เช่น ต้องรบเพื่อป้องกันประเทศชาติ หรือป้องกันทรัพย์สมบัติ และชีวิตเมื่อถูกรุกราน ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ผ้ายันต์นี้จะไม่ให้ผลแด่ท่านเลย

    ประโยชน์จากผ้ายันต์
    ๑. ผ้ายันต์สีแดง (ธงท่านท้าวมหาชมภู) มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องจากอุบัติเหตุ และโรคระบาดต่าง ๆ เช่น ไข้ป่า เป็นต้น อันตรายจะมีแด่ท่านผู้มียันต์นี้อย่างมากก็เพียงเนื้อแตก หนังแตก จะไม่มีอันตรายถึงกระดูกหัก หรือสิ้นชีวิตในระหว่างที่ ยังไม่ถึงอายุขัย

    ๒. ผ้ายันต์สีเขียว (ธงพระอินทร์) จะช่วยคุ้มครองหมู่คณะที่ร่วมปฏิบัติงานร่วมกัน ถ้าเขาเหล่านั้นต้องการให้คุ้มครอง
    อาราธนา การอาราธนาขอให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และครูอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา จนถึงหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และท่านเจ้าของธงเป็นที่สุด แล้วให้อธิษฐานตามที่ตนปราถนา (หมายถึงการคุ้มครอง) ไม่ใช่ขอหวย เมื่ออธิษฐานแล้วให้ปลุกด้วยคาถาปลุกของคนทั่วไปของหลวงพ่อปาน ว่าดังต่อไปนี้

    คาถาปลุก

    “อิทธิฤทธิ์ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุนี้ด้วยเถิด”

    ผ้านี้ทำเพียงหนึ่งพันชุด และแจกในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๒ ซึ่งตรงกับ เดือนห้า ขึ้นห้าค่ำ วันเสาร์ เป็นวันไหว้ครู

    ******************************************

    ผ้ายันต์ธงเขียวท่านปู่พระอินทร์จะมีอยู่ด้วยกัน 2พิมพ์ มีข้อแตกต่างกันตรงที่มียันต์ คล้ายตัว ย ในกรอบสามเหลี่ยมเพิ่มขึ้นมา

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงแดง – ธงเขียว จารมือโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    หลวงพ่อท่านนำผ้าแดง – ผ้าเขียว มาตัดทำเป็นยันต์ธง จารลงอักขระยันต์ สร้างในยุคแรกๆ ก่อนที่จะทำเป็นแบบปั๊มหมึกยันต์เป็น ธงแดงท้าวมหาชมภู-ธงเขียวท่านปู่พระอินทร์ ในคราวต่อๆมา 2ผืนนี้เป็นแบบเนื้อผ้าบาง

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์ธงแดง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    หลวงพ่อท่านสร้างสมัยที่ท่านยังอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เมื่อปี 2508 พุทธคุณ..อธิฐานได้ตามปรารถนา ใช้ต้มกินแก้ท้องเดินชงัดนัก พระมงคลชัยสิทธิ์ (หลวงพ่อสำราญ) ใช้เป็นองค์แรก เมื่อหลวงพ่อแจกยันต์นี้ครั้งแรกที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า มีผู้เอาไปลองยิงหลังวัด ปรากฏว่าถ้าเล็งตรงยันต์ยิงไม่ออก ถ้าเล็งไปทางอื่นจึงยิงออก จึงมีผู้เข้าแถวขอธงจนหมดในงานนั้นเอง สร้างจำนวนไม่มากนัก

    Read more
  • ผ้ายันต์ ผ้ายันต์-โชว์

    ผ้ายันต์ม่วง กรมหลวงชุมพร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    ยันต์เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพร (พุทธะฤๅชา ธัมมะฤๅชา สังฆฤๅชา) ตัวผ้าเป็นสีม่วง มีขนาด 10×10ซม. อีกหนึ่งรายการธงที่หายากของหลวงพ่อ นิมนต์จากบ้านลูกศิษย์ก้นกุฎิ

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์มหาราชสีห์ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ปลุกเสก)

    หลวงพี่จง (อดีตพระลูกวัดท่าซุงในสมัยนั้น) ได้กราบเรียนขออนุญาตพระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างผ้ายันต์ โดยเอาผ้ายันต์ราชสีห์ ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา มาเป็นต้นแบบ หลังจากที่หลวงพ่อท่านอนุญาต หลวงพี่จงท่านก็ให้หลวงพี่สามารถในสมัยนั้น (ได้ลาสิขา และปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว) ที่มีความถนัดในด้านนี้ช่วยทำบล็อคสกีน ทำออกมามีอยู่ด้วยกัน 3สี คือ สีเหลือง สีขาว และสีแดง เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่พระอุโบสถ วัดท่าซุง ราวๆปี 26-27

    พุทธคุณจะเด่นไปในทางมหาอำนาจ แคล้วคลาด คงกระพัน ป้องกันภูตผีปีศาจ

    เรื่องเล่าจากศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับแจกผ้ายันต์จากหลวงพ่อ
    ท่านเล่าว่า…หลวงพ่อได้กล่าวไว้ว่าผ้ายันต์ผืนนี้ ใครมีไว้บูชา ติดไว้ที่บ้าน ป้องกันทุกอย่าง ไปปลูกบ้านในป่าช้ายังได้เลย

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการสร้างพระอุโบสถ วัดจันทาราม ปี18 (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    เป็นผ้ายันต์ตราธรรมจักร ที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็น ” อนุสรณ์ในการสร้างพระอุโบสถและศาลากรรมฐาน วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) ถวายกุศลแด่ พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน สุทธาวงษ์) วัดบางนมโค เนื่องในวาระครบรอบ ๑๐๐ปีเกิด พ.ศ.๒๕๑๘ ”

    เนื้อผ้ายันต์และลายหมึกปั้มเก่าได้อายุ สมบัติพ่อให้อีกหนึ่งชิ้นที่ไม่มีให้เห็นกัน

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค รุ่นแรก ปี2474

    ผ้ายันต์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านทำแจกครั้งแรกใน ปี2474 ในปีที่ท่านรับสมณศักดิ์ “พระครูวิหารกิจจานุการ” เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนความกตัญญูของเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลาย ที่มาแสดงความยินดีและสรงน้ำท่าน โดยจารึกไว้ที่ใต้อาสนะของท่านในรูปว่า “พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน) วัดบางนมโค อำเภอเสนา อยุธยา” ผ้าที่ใช้ทำเป็นผ้าขาวและใช้หมึกแดงพิมพ์ ผืนนี้เก่าทันยุค สภาพเดิมๆ

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์เกราะเพชร รุ่นแรก (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    การเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเป็นตำรา พระร่วง สำหรับยันต์เกราะเพชรนั้นก็ได้จากบท อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะธัมมะ สาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
    ถ้าอ่านลงตามแบบหนังสือจีน คืออ่านตามขวาง ก็ได้ใจความว่า อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรตินัง ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ชักเป็นตาข่าย จัดเป็นสูตร
    เวลาจะเป่ายันต์เกราะเพชร ท่านก็เขียนใส่กระดานดำ เมื่อท่านเขียนแล้ว ก็ให้คนที่จะมารับยันต์เกราะเพชร จุดธูปเทียนบูชารับศีลแล้วก็ภาวนาว่า “พุท” หายใจเข้า “โธ” หายใจออก ถ้ามีลูกอยู่ในท้อง ก็ให้จุดธูปแทนลูกในท้อง 1ดอก เวลาคลอดบุตรออกมา ก็จะมียันต์เกราะเพชรทั่วทั้งตัว แล้วภายใน 7วัน ยันต์ก็จะหายเข้าไปในตัว
    สำหรับผู้ใหญ่นั้น ย่อมไม่เห็นยันต์ ถ้าใครรักษาไว้ได้ด้วยดี เมื่อเวลาตายเขาเอาไปเผา จะเห็นมีรูปยันต์ติดอยู่ที่กระดูก
    ยันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อปานนี้ ท่านกล่าวว่า ท่านได้มาจาก ยอดธงมหาพิชัยสงคราม เป็นธงออกศึกท่านตัดเศียรเอามาโดยเฉพาะ แบ่งจากยอดของธง คือธงนั้นมียันต์มาก ทีนี้เอายันต์ๆ หนึ่งในยอดธงมหาพิชัยสงคราม ท่านให้ชื่อว่า ยันต์เกราะเพชร
    เวลาที่ท่านจะเป่าให้ ท่านอธิบายว่าของๆท่านไม่รับรองเรื่องคงกระพันชาตรี รับรองเพียงว่า ใครรับยันต์เกราะเพชรแล้ว
    ๑. จะไม่ตายโหง
    ๒. จะไม่ถูกคุณผี คุณคน จะป้องกันสรรพอันตรายที่บุคคลทั้งหลายทำมาด้วยวิชาการต่างๆ
    ๓. จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์พิษ อย่างนี้เป็นต้น
    และ บุคคลทั้งหลาย ถ้าได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้าบูชาไว้ด้วยดี ถ้าบุคคลใดใครก็ตามจะกลั่นแกล้งบุคคลที่ได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ท่านห้ามไม่ให้โกรธตอบ ให้ทำเฉยๆ แล้วบุคคลประเภทนั้นจะได้รับผลกรรมที่ตัวทำนั้นเอง โดยเฉพาะหมายความว่า เราไม่ต้องทำตอบ เมื่อเขาแกล้งเราด้วยวิธีใด ก็วิธีนั้นแหละจะลงโทษเขา ถ้าเขาคิดจะฆ่าเรา เขาก็ตายเอง ถ้าเขาจะกลั่นแกล้งเราให้ย่อยยับ เขาก็ย่อยยับเอง ถ้าเขาจะทำให้เราลำบาก เขาก็ลำบากเอง อันนี้เป็นวิธีการอันหนึ่งที่ไม่ใช่ทำให้เขาลำบาก ถ้าเขาทำ ผลนั้นเขาจะพึงได้รับเอง เราไม่บาป แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า
    ๑. ห้ามดื่มสุราเมรัยเด็ดขาด เว้นไว้แต่เป็นกระสายยา
    ๒. ห้ามทุจริตโดยการลักขโมย ฉ้อโกง อย่างนี้เป็นต้น

    ถ้าใครประพฤติปฏิบัติในศีล 2ประการได้ ยันต์เกราะเพชรก็จะคุ้มครองบุคคลนั้น ถ้าใครรักษาศีลไม่ได้ ยันต์เกราะเพชรก็จะไม่คุ้มครอง

    ****************************************

    รุ่นนี้ต้องสังเกตตรงเนื้อผ้า และหมึกตัวยันต์เกราะเพชรซื่งต้องคมเป็นเส้นบางๆ (ไม่หนา)

    ****************************************

    อานุภาพยันต์เกราะเพชร

    โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ยันต์เกราะเพชรนี้ หลวงพ่อปานศึกษาจากตำราพระร่วง โดยตัดมาจากส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม เป็นการนำเอาพุทธคุณบทต้นมาเขียนเป็น ตัวขอม อ่านตามขวางว่า

    อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา

    ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
    ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
    โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
    ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
    คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
    วา โธ โน อะ มะ มะ วา
    อะ วิ สุ นุต สา นุส ติ

    สำหรับ ยันต์เกราะเพชร คือ เป็นคาถา อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ เรียกกันว่า ห้องพระพุทธคุณ แต่เขียนลงมาอย่างหนังสือเจ๊ก เขียนลง ไม่เขียนตามบรรทัด เขียนลงมา ๗ คำ แล้วก็ไปขึ้นต้นใหม่เรียงกันไป ก็ว่า อิระชาคะตะระสา ติหังจโตโรถินัง นี่เรียกว่า อิติโส ๘ ทิศ อย่างนี้แหละ แล้วก็ชักเป็นยันต์ เรียกสูตรตามเส้นที่เขาชักไป สำหรับยันต์เกราะเพชรนี่หลวงพ่อปานปลุกได้ดีมาก เพราะว่าเวลาท่านจะเป่าให้ใครนั้น ท่านเขียนยันต์ใส่กระดานดำไว้
    แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างหลังให้ทุกคนจุดธูปเทียน แล้วภาวนาว่า พุทโธ ถ้าคนไหนมีครรภ์ ผู้หญิงมีครรภ์ก็ให้จุดธูป ๑ ดอกแทนลูกในครรภ์ แล้วท่านก็เป่า เวลาเป่ายันต์เข้าตัวจะมีความรู้สึกหนักที่ศีรษะหรือว่าคันที่หน้า ยังงี้เรียกว่ายันต์เข้าจับตัวแล้ว ถ้ายันต์เข้าจับตัวทุกคนก็เป็นอันว่าเลิกกัน ท่านเป่าเฉพาะวันเสาร์ห้า คือว่าเป็นเดือนอะไรก็ตาม เป็นขึ้น ๕ ค่ำวันเสาร์ หรือวันเสาร์ตรงกับ ๕ ค่ำ อันนี้ใช้ได้ เรียกว่าท่านทำเป็นปกติ แล้วก็วันเสาร์ ๕ นี่แหละเป็นวันยกครูของท่าน ท่านจะยกครูหมอ ครูอะไรก็ตาม ก็ทำกันวันเสาร์ห้า คนเยอะยิ่งกว่ามีงานวัดอีก ศาลาของท่านใหญ่จุคนเป็นพัน แต่เวลาเป่ายันต์เกราะเพชรจริง ๆ ต้องผลัดกัน ๔-๕ รุ่น เรียกว่านั่งเต็มศาลาเป่า ๑ คราว ใครเป่าแล้วก็ลงมา คนที่ยังก็ขึ้นไป ยังงี้เปลี่ยนกันถึง ๔-๕ รุ่น
    คุณสมบัติของยันต์เกราะเพชรก็เป็นการกันการกระทำการกลั่นแกล้งจากคนอื่นด้วย วิชานี้ดีมาก หากว่าใครขืนทำเข้าคนนั้นก็เคราะห์ร้าย เคราะห์ร้ายเพราะอะไร ของเหล่านั้นจะกลับสะท้อนย้อนเข้าไปหาตัว คราวหนึ่ง พระผลบวชพรรษาเดียวกับฉัน แกอยู่อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แกไปรับยันต์เกราะเพชร พอรับแล้วแกก็ออกไปหลังวัด ปรากฏว่าถูกงูเห่ากัดเห็นตัวชัดเพราะเป็นกลางคืนเดือนหงาย เห็นว่าเป็นงูเห่าแน่ เอาไฟส่องดูก็แผ่แม่เบี้ยหราเป็นงูเห่า แกก็วิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ถามว่า แกรับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า พระผลก็บอกว่ารับขอรับ ท่านบอกว่าถ้ารับไม่รักษา ฉันอยากจะดูคนที่รับยันต์เกราะเพชรมันตายเพราะถูกงูกัดสักคน ถ้าหากว่าแกตายฉันจะดีใจมาก ท่านผลหน้าซีด ปรากฏว่าในขณะที่ท่านพูด พิษมันวิ่งขึ้นมาถึงเข่า แล้วก็ถอยไปปวดอยู่ปากแผล เดี๋ยวมันก็ปวดขึ้นมาถึงเข่า แล้วก็ปวดที่ปากแผล ๓ ครั้ง พอวาระที่สามปรากฏว่า อาการปวดหายไปหมดเลย พิษหมดเลย พระผลดีใจมาก บอกว่าหายปวดแล้วครับ หลวงพ่อปานก็บอกว่านั่นนะซิ ฉันแน่ใจว่ายันต์เกราะเพชรของฉันดี แต่ถ้าแกรับแล้วแกตายเพราะงูกัด ฉันก็จะเห็นว่าแกเป็นคนเลวมาก ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะว่ายันต์เกราะเพชรนี่ฉันอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองนะไม่ใช่อื่น ถ้าแกตายแล้วก็เป็นพระด้วย แกรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วด้วย ถ้าถูกงูกัดแล้วตายเพราะงูพิษ ก็น่าจะตายหรอก เพราะว่าคนที่บวชแล้วไม่เคารพในพระพุทธเจ้า ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เป็นคนเลวก็ควรจะตาย แต่ว่าแกไม่ตาย นี่ก็แสดงว่าแกเป็นคนดีแล้ว ความมั่นคงในพระพุทธเจ้าใช้ได้ นี่ว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร

    ***********************

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง

    หลวงพ่อฤาษีฯ เริ่มเป่ายันต์อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ที่ศาลาพระพินิจอักษร คนมารับยันต์หลายพันคน ต้องทำพิธีเป่าอยู่หลายรอบ ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ที่ ศาลา ๒ ไร่ ผู้คนแห่กันมาหลายหมื่นคน ต่อมาหลวงพ่อได้สร้างศาลา ๓ ไร่, ๔ ไร่ และศาลา ๑๒ ไร่ เพื่อรองรับศรัทธา เพราะมีผู้มาร่วมพิธีเป่ายันต์กันมากขึ้นทุกปี ขนาดศาลา ๑๒ ไร่ คนก็เต็มและต้องเป่าหลายรอบ การเป่ายันต์ไม่ได้เป่าทีละคน หากแต่เป่าทีละเต็มศาลา กี่หมื่นกี่แสนคนก็เป่าพร้อมกันทีเดียว “พระ”ท่านบอกว่า เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล จะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพ ก็มีผลเช่นเดียวกับคนที่มาเข้าพิธีด้วยตัวเอง  หลวงพ่อจะให้ผู้รับยันต์ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน แล้วดูภาพยันต์ที่ตั้งไว้ในพิธี ตั้งใจจำภาพยันต์ไว้ในใจ แล้วหลับตาภาวนาว่า พุทโธ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าเสร็จพิธี…

    ยันต์เกราะเพชร คือ พุทธานุภาพ ขณะที่เราหลับตาภาวนา พระพุทธเจ้าจะเปล่งฉัพพรรณรังสีลงมา ครอบคลุมท่านที่ตั้งใจรับยันต์ หลวงพ่อท่านจะคอยดูอยู่ พอพระท่านบอกว่าเต็มแล้ว หลวงพ่อก็จะบอกให้เลิกภาวนา… เมื่อยันต์เกราะเพชรเริ่มจับตัว ผู้รับจะมีอาการต่าง ๆ กัน เช่นร้อนหู ร้อนหน้า ขนลุกขนชัน หนักศีรษะ หรือ คันยุบยิบเหมือนมีตัวไรไต่ บางคนจับไข้ไปเลย อาการเหล่านี้จะทรงอยู่ไม่เกิน ๒-๓ วัน พอยันต์เข้าตัวหมดก็หายไปเอง… ผู้ที่ถูกไสยศาสตร์มา ไม่ว่าจะเป็นคุณผี-คุณคน หรืออะไรก็ตาม เมื่อเริ่มทำการเป่ายันต์ ท้าวจตุมหาราชและ บริวารจะช่วยขับของเหล่านั้นออกให้ คนที่โดนของมาจะทั้งดิ้นทั้งร้อง ต้องปล่อยให้สงบไปเอง เลิกดิ้นเลิกร้องเมื่อไร แปลว่า ของอาถรรพ์สลายตัวหมดแล้ว…!
    การเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปในตัวด้วย ใครมีวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด หรือ เครื่องรางใด ๆ ก็ตาม เวลาเข้าพิธีให้วางไว้บนตักตัวเอง เสร็จพิธีเป่ายันต์ ก็นำไปใช้ได้เลย…
    การรักษายันต์เกราะเพชรให้อยู่กับตัว ผู้รับยันต์ไปต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรืออย่างน้อย ต้องมีศีล ๒ ข้อ คือ ห้ามกินเหล้า และ ห้ามลักขโมย ตอนเช้าต้องสวดมนต์ไว้พระ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาราธนาบารมีของท่าน ลงมาเป็นเกราะเพชรคลุมกายเรา ภาวนา “พุทโธ”ให้ใจสบาย แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกวัน อานุภาพของยันต์เกราะเพชรจะคุ้มครองรักษา ให้ท่านมีความปลอดภัยทุกประการ… ผู้ที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้
    ๑.จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด
    ๒.จะไม่ตายด้วยพิษสัตว์ทุกชนิด
    ๓.ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกชนิด
    ๔.ไสยศาสตร์ทุกประเภท จะสะท้อนกลับไปเอง
    ผู้รับยันต์ไปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี เมื่อคลอดออกมา จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป   ลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคน เมื่อตายแล้วเผามียันต์ติดที่กระดูก บางคนกระดูกลายเป็นพระธาตุไปเลย เด็กที่เกิดมามียันต์เกราะเพชรติดตัวเป็นจำนวนมาก บางคนลายเป็นแตงไทย บางคนหูดำทั้งสองข้าง บางคนเป็นยันต์เกราะเพชรอย่างชัดเจน…

    รายหนึ่งอยู่ลพบุรี ผู้เป็นแม่รับยันต์ไปแล้ว ตั้งใจรักษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ลูกเกิดมามียันต์เป็นสีแดง และปรากฏขึ้นทุกวันพระ อีกรายมียันต์ติดกระหม่อมเป็นรูปกงจักร ซึ่งลวดลายยันต์เหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าเนื้อ ไปอยู่ที่กระดูกจนหมด.

    ※ หมายเหตุ :
    การเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นวิชาที่หลวงพ่อปานท่านศึกษาจากตำราพระร่วง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ได้เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า :
    หลังจากหลวงพ่อปานตายแล้วปีหนึ่ง ฉันนอนนึกถึงสมุดตำราของหลวงพ่อปาน ที่อาจารย์แจงขอยืมไป ฉันนึกขึ้นมาได้ว่า ท่านขอยืมเอาไปปีหนึ่งแล้วท่านจะมาส่ง นี่ไม่เห็นท่านมาส่ง แล้วหลวงพ่อปานก็ตายแล้ว จะลองๆ ไปถามท่านว่าจะให้ไหม จะได้เอามาใช้บ้างเผื่อจะฮิตขึ้นมา เมื่อไปถึงอำเภอสวรรคโลก พอไปถึงที่นั่น ได้ยินข่าวว่าอาจารย์แจงตายตายไล่ๆ กับหลวงพ่อปาน เลยแจ้งภรรยาของท่านว่า ฉันนี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน จะมาขอตำราคืนไป จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ภรรยาของท่านก็หยิบหนังสือขึ้นมา อาจารย์แจงเขียนเป็นตัวหนังสือคล้ายๆ โบราณ บอกว่า ตำราเล่มนี้เป็นตำราของอาจารย์พระร่วง ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมาจากต้นตระกูล เพราะตระกูลของข้าพเจ้าเป็นตระกูลของพระร่วง ถ้าหากว่า บุคคลใดจะนำตำรานี้ไปใช้เป็นประโยชน์ ให้นำดาบ ๒ เล่มนี้ ไปรำที่กลางนอกชาน รำกลางแจ้ง ถ้ารำดาบแล้วมีฟ้าผ่ามาใกล้ๆ ฟังเสียงชัด ก็มอบตำรานี้ให้ได้
    ภรรยาอาจารย์แจงบอกว่า พออาจารย์แจงตาย ก็มีคนมารำกันเยอะ ฟ้าไม่ผ่า แกก็ส่งดาบให้ ฉันก็หยิบดาบ เอาตำราไปวางไว้ที่หน้าพระพุทธรูป แล้วฉันก็จุดธูปเทียนบูชา อธิษฐานว่า ถ้าวาสนาบารมีของฉันนี้เคยเกี่ยวข้อง กับท่านเจ้าของตำราเล่มนี้มาบ้าง และควรได้รับตำรานี้ไว้เป็นสมบัติของตน และคาถาในตำรานี้ จะเป็นประโยชน์แก่ฉัน ขอให้ฟ้าผ่าลงมาขณะที่ฉันถือดาบ ออกไปกลางแจ้ง ในที่สุด พอเดินออกไปกลางนอกชาน ไม่ทันถึง ๒ นาที ฟ้าผ่าเปรี้ยง หูอื้อไปตามๆ กัน เป็นอันว่าฉันมีสิทธิ์ในการใช้ตำรา แล้วฉันก็รับตำรามา.

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์เกราะเพชร รุ่นแรก ขนาดเล็ก (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    การเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเป็นตำรา พระร่วง สำหรับยันต์เกราะเพชรนั้นก็ได้จากบท อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะธัมมะ สาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
    ถ้าอ่านลงตามแบบหนังสือจีน คืออ่านตามขวาง ก็ได้ใจความว่า อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรตินัง ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ชักเป็นตาข่าย จัดเป็นสูตร
    เวลาจะเป่ายันต์เกราะเพชร ท่านก็เขียนใส่กระดานดำ เมื่อท่านเขียนแล้ว ก็ให้คนที่จะมารับยันต์เกราะเพชร จุดธูปเทียนบูชารับศีลแล้วก็ภาวนาว่า “พุท” หายใจเข้า “โธ” หายใจออก ถ้ามีลูกอยู่ในท้อง ก็ให้จุดธูปแทนลูกในท้อง 1ดอก เวลาคลอดบุตรออกมา ก็จะมียันต์เกราะเพชรทั่วทั้งตัว แล้วภายใน 7วัน ยันต์ก็จะหายเข้าไปในตัว
    สำหรับผู้ใหญ่นั้น ย่อมไม่เห็นยันต์ ถ้าใครรักษาไว้ได้ด้วยดี เมื่อเวลาตายเขาเอาไปเผา จะเห็นมีรูปยันต์ติดอยู่ที่กระดูก
    ยันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อปานนี้ ท่านกล่าวว่า ท่านได้มาจาก ยอดธงมหาพิชัยสงคราม เป็นธงออกศึกท่านตัดเศียรเอามาโดยเฉพาะ แบ่งจากยอดของธง คือธงนั้นมียันต์มาก ทีนี้เอายันต์ๆ หนึ่งในยอดธงมหาพิชัยสงคราม ท่านให้ชื่อว่า ยันต์เกราะเพชร
    เวลาที่ท่านจะเป่าให้ ท่านอธิบายว่าของๆท่านไม่รับรองเรื่องคงกระพันชาตรี รับรองเพียงว่า ใครรับยันต์เกราะเพชรแล้ว
    ๑. จะไม่ตายโหง
    ๒. จะไม่ถูกคุณผี คุณคน จะป้องกันสรรพอันตรายที่บุคคลทั้งหลายทำมาด้วยวิชาการต่างๆ
    ๓. จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์พิษ อย่างนี้เป็นต้น
    และ บุคคลทั้งหลาย ถ้าได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้าบูชาไว้ด้วยดี ถ้าบุคคลใดใครก็ตามจะกลั่นแกล้งบุคคลที่ได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ท่านห้ามไม่ให้โกรธตอบ ให้ทำเฉยๆ แล้วบุคคลประเภทนั้นจะได้รับผลกรรมที่ตัวทำนั้นเอง โดยเฉพาะหมายความว่า เราไม่ต้องทำตอบ เมื่อเขาแกล้งเราด้วยวิธีใด ก็วิธีนั้นแหละจะลงโทษเขา ถ้าเขาคิดจะฆ่าเรา เขาก็ตายเอง ถ้าเขาจะกลั่นแกล้งเราให้ย่อยยับ เขาก็ย่อยยับเอง ถ้าเขาจะทำให้เราลำบาก เขาก็ลำบากเอง อันนี้เป็นวิธีการอันหนึ่งที่ไม่ใช่ทำให้เขาลำบาก ถ้าเขาทำ ผลนั้นเขาจะพึงได้รับเอง เราไม่บาป แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า
    ๑. ห้ามดื่มสุราเมรัยเด็ดขาด เว้นไว้แต่เป็นกระสายยา
    ๒. ห้ามทุจริตโดยการลักขโมย ฉ้อโกง อย่างนี้เป็นต้น

    ถ้าใครประพฤติปฏิบัติในศีล 2ประการได้ ยันต์เกราะเพชรก็จะคุ้มครองบุคคลนั้น ถ้าใครรักษาศีลไม่ได้ ยันต์เกราะเพชรก็จะไม่คุ้มครอง

    ***************************************

    แบบนี้เป็นแบบผ้ายันต์ผืนเล็ก มีปั๊มด้วยหมึกแดงและหมึกน้ำเงิน

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปาน รุ่น1 (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ สร้างครั้งแรก ด้วยผ้าขาวและพิมพ์สกีนรูปหลวงปู่ปานด้วยหมึกสีดำ

    Read more
  • ผ้ายันต์

    ผ้ายันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปาน รุ่น2 (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ สร้างเป็น รุ่น2 ด้วยผ้าขาวและพิมพ์สกีนรูปหลวงปู่ปานด้วยหมึกสีแดง (ผืนจะมีขนาดเล็กกว่า รุ่น1สีดำ)

    Read more
  • เครื่องรางอื่นๆ เครื่องรางอื่นๆ-โชว์

    ผ้าสามปม (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    หลวงพ่อท่านว่าผ้าสามปมนี้ทำยากมากเพราะท่านจะต้องเข้าผลสมาบัติเป็นสมาบัติของพระอริยเจ้าเต็มกำลังและถอยมาอุปจารสมาธิ แล้วภาวนาคาถา อธิฐานควบคู่ไป จึงมัดปมหนึ่งปม ทำแบบนี้จนครบ 3 ปม ท่านมักจะทำในเวลาป่วยไข้ ตอนหมอให้น้ำเกลือ แรกเริ่มเดิมที่หลวงพ่อท่านทำด้วยผ้าแดงเป็นครั้งแรก แต่ผ้ามักจะเปื่อยและขาดง่าย ท่านจึงเปลี่ยนมาเป็นเชือกแทน ซึ่งจะมีทั้งที่เป็นเชือกเขียว และเชือกแดง

    พุทธคุณจะเด่นด้านคงกระพันมหาอุตม์ ป้องกันและแก้ทุกอย่างดีมากๆ

    Read more
  • อื่นๆ

    พระกริ่งเรซิ่น รุ่นฉลองเจดีย์ วัดธรรมยาน (หลวงพ่อวิรัช โอภาโส อดีตพระเลขาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    พระกริ่งเรซิ่น (ไม่บรรจุกริ่ง) รุ่นฉลองเจดีย์ วัดธรรมยาน พระรุ่นนี้มีประวัติการสร้างชัดเจน ถือเป็นพระรุ่นแรกๆของทางวัดที่ลูกศิษย์หลวงพ่อวิรัช โอภาโส จัดสร้างมาถวาย เนื่องในงานฉลองเจดีย์พระธาตุแก้วเกศรานาเฉลียง ณ วัดธรรมยาน โดยพระส่วนมากจะถูกบรรจุอยู่ใต้เจดีย์เกือบทั้งหมด บางส่วนเล็กน้อยที่แจกให้กับพระลูกวัดและคนที่ช่วยงานวัดในขณะนั้น งานพิธียิ่งใหญ่ ตั้งบายศรี16ทิศ ฉลองสมโภชน์ 7วัน 7คืน พุทธคุณมากเหนือคำบรรยาย

    ****************************************************************************************************

    ประวัติหลวงพ่อพระปลัดวิรัช โอภาโส

    พระปลัดวิรัช โอภาโส อดีตพระวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี หลังจากที่ท่านเคยใช้ชีวิตในโลกแห่งสมมุติ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกามานานกว่า 10 ปี ได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย และเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อหาทางเข้าสู่วิมุตติ ณ วัดท่าซุง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2524 และจนกระทั่งวันที่ 30 ตุลาคม 2535 เป็นวันที่บรรดาลูกหลานศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เศร้าโศกเสียใจกับการมรณภาพของท่านอย่างไม่มีวันกลับ พระปลัดวิรัชได้อยู่สนองพระคุณท่าน ด้วยการร่วมในพิธีงานมรภาพจนครบรอบ 1 ปี ในที่สุดท่านตัดสินใจออกจากวัด เพื่ออยู่ใกล้ชิดบิดามารดา และเพื่อฝึกฝนตนเอง และแสวงหาเส้นทางวิมุตติ ด้วยการรอนแรมไปยังที่ต่างๆนานกว่า 10 ปี

    ภายใต้ร่มโพธิ์ทอง ร่มโพธิ์ธรรม ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ยาวนาน 12 ปี ท่านได้เป็นพระเลขาฯ ประจำตัวของหลวงพ่อฯ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส กรรมการมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร และกรรมการโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ท่านเป็นผู้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อฯทั้งภายในประเทศและต่างประเทศด้วยดี ตลอดมา ซึ่งทุกตำแหน่งได้สร้างความภูมิใจให้ท่านเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมีค่าเท่ากับความเมตตาที่หลวงพ่อฯมอบให้ ในที่สุดท่านได้นำประสบการณ์ที่สะสมมานานมาสร้าง วัดธรรมยานขึ้น ที่ ตำบลนาเฉลียง อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ท่านมีปฏิปทาในการทำงานเพื่อบูชาพระคุณองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    เมื่อเวลามาถึง และโอกาสอำนวย วัดธรรมยานจึงได้ถือกำหนดขึ้น เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2546 จากที่ดิน 37 ไร่ จนกระทั่งปัจจุบันมีเนื้อที่ทั้งหมด 664 ไร่ จากพื้นที่แห้งแล้งประดุจดั่งทะเลทราย ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำใช้ในบางโอกาส ณ บัดนี้ผืนดินดังกล่าวได้ค่อยๆกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เจริญงอกงามขึ้น ตามลำดับของกาลเวลาและกำลังศรัทธาของผู้แสวงบุญ อันเป็นสถานที่เหมาะแก่การหลีกเร้นใฝ่หาความสงบของจิตเพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาหาทางดับทุกข์ในที่สุด

    Read more