๑. พระบูชา
-
๑. พระบูชา พระบูชา พระพุทธ พระยอดนิยม
พระบูชา10นิ้ว สมเด็จองค์ปฐม รุ่น1 หลังแดง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อดำริให้สร้างเมื่อราวๆปี2535 เททองหล่อที่วัดโดยช่างประเสริฐ สร้างได้ประมาณ 500องค์ ลูกศิษย์จองกันหมด ช่างสร้างกันไม่ทัน หลวงพ่อจึงสั่งให้ไปหล่อที่โรงงานเพื่อเพิ่มความรวดเร็วขึ้น
รุ่นนี้ถือเป็นพระบูชาสมเด็จองค์ปฐม รุ่นแรก มีทั้งขนาด10นิ้ว และ5นิ้ว พุทธลักษณะองค์พระจะหล่อหนามีน้ำหนักมาก ดูล่ำอิ่มเอม เม็ดพระศกจะใหญ่ และเมื่อนับพระศกจากตรงกลางหน้าผากขึ้นไปจรดเปลวพระเพลิงจะได้9เม็ด ซุ้มเรือนแก้วจะหนาและแนบชิดกับองค์พระ ใต้ฐานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนด้านหลังจะไม่ตอกหมายเลขกับกับ แผ่นป้ายที่ติดมีทั้งที่เขียนว่า “วัดท่าซุง” และ “วัดท่าซุ่ง” ถือเป็นจักรพรรดิ์แห่งพระบูชาอันดับหนึ่งของวัดท่าซุง
*************************************************
คำสอนสมเด็จองค์ปฐมบรมครู (สมเด็จพระพุทธสิขีทศพล ที่ 1)
หลวงพ่อได้เมตตา สรุปใจความสั้นๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้…..
“ท่านทั้งหลาย การหลบหลีก ไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เป็นของไม่ยาก
1. ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้(ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหมในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพานได้ในที่สุด”หมายเหตุ : เทศน์ที่ ”เทวสภา” วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.
******************************************************
-
๑. พระบูชา พระบูชา พระสหธรรมิก พระบูชาพระ สหธรรมิก-โชว์
พระบูชา5นิ้ว สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สมเด็จฟื้น) วัดสามพระยา
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ หรือที่รู้จักในนาม “สมเด็จฟื้น” ท่านเป็นหนี่งในพระสหธรรมิกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ท่านให้ความรักและให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ช่วงที่ทางวัดท่าซุงมีงานประจำปีต่างๆ หลวงพ่อก็จะนิมนต์สมเด็จฟื้นท่านมาร่วมงานด้วยเสมอๆ และท่านยังได้เป็นองค์ประธานจับสายสิญจน์ในการหล่อพระสมเด็จองค์ปฐม องค์ใหญ่ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้…ว่าสมเด็จฟื้นท่านเคยเกิดเป็นพี่ชายในอดีตชาติ จึงมีความผูกพันกันมาแต่ปางก่อน เป็นพระอริยสงฆ์ที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ
-
๑. พระบูชา พระบูชา หลวงปู่ปาน - หลวงพ่อ พระบูชาหลวงปู่ปาน - หลวงพ่อ-โชว์
พระบูชา5นิ้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง รุ่น1 ปี18 (พระมหาวีระ ถาวโร)
ถือเป็นพระบูชา 5นิ้วรุ่นแรกที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สร้าง ซึ่งสร้างออกมาพร้อมกับพระบูชา 9นิ้ว และ 4นิ้ว รุ่นแรก เป็นอีกรุ่นที่ไม่ค่อยได้พบเห็น องค์พระเป็นเนื้อโลหะผิวรมดำ ใต้ฐานมีดินฝรั่ง จัดสร้างเมื่อปี 2518 บนฐานด้านหน้าเขียนว่า
พระมหาวีระ ถาวโร
ศูนย์ศิษย์ หลวงพ่อปาน -
๑. พระบูชา พระบูชา พระสหธรรมิก พระบูชาพระ สหธรรมิก-โชว์
พระบูชา5นิ้วรุ่นแรก หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค
พระบูชาหลวงปู่สี ฉันฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ รุ่นแรก (พิมพ์แต่ง) ปี ๒๕๑๘ ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว เนื้อทองเหลืองรมดำ พระชุดนี้จัดเป็นพระบูชารุ่นแรก จำนวนการสร้างเพียง ๑๒๕ องค์
*****************************************************
…หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค…
หลายท่านยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องความเกี่ยวข้องระหว่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำฯ ว่าเป็นศิษย์หลวงปู่สีบ้าง ไปขอเรียนวิชาบ้าง ขอทุกท่านทำความเข้าใจตามบทความลายลักษณ์อักษรเพื่อความถูกต้องน่าจะเหมาะสมและสืบสานในอนาคตต่อไปอย่างไม่ผิดเพี้ยน (ดังหลวงปู่สีกล่าวว่า “เป็นลูกศิษย์พระมหาวีระ ต้องละเอียด)”
…หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต…
( หนังสือ อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญโดย พ.ต.อ.พิเศษ อรรถณพ กอวัฒนา/พล.อ.ต มนูญ ชมภูทวีป)
…เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ในวันหนึ่งหลวงพ่อได้มาแสดงธรรมะออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ตาคลี จ.นครสวรรค์เหมือนเช่นเคย และหลังจากที่หลวงพ่อได้แสดงธรรมะออกอากาศเสร็จก็ได้มานั่งพักผ่อนสนทนากับข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ที่ห้องรับแขก ข้าพเจ้าจึงได้ฉวยโอกาสเล่าถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่สี ให้หลวงพ่อฟัง พอสรุปใจความสั้น ๆ ได้ดังนี้
“..มีพ่อค้าชาวตาคลีกลุ่มหนึ่งไปกราบนมัสการ หลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อหลวงปู่แหวนทราบว่าเป็นพ่อค้ามาจากตาคลี ก็หัวเราะพูดว่า ท่านมีอาจารย์อยู่องค์หนึ่งอายุมากแล้วชื่อ หลวงปู่สี ขณะนี้อยู่ที่ตาคลีให้ค้นหาให้ดี เพราะท่านเก่งมากดังนั้นเมื่อผู้คนกลุ่มนั้นกลับมา ก็พยายามติดตามค้นหาในที่สุดก็ได้พบว่าหลวงปู่สี พำนักอยู่ วัดถ้ำเขาบุญนาค มีอายุชราภาพมากแล้วถึง ๑๒๑ ปี อภินิหารของหลวงพ่อสีในขณะนั้นที่ร่ำลือกันมากคือ ไม่มีใครถ่ายรูปหลวงปูสีติด หากไม่ขออนุญาตท่านเสียก่อน และชานหมากของหลวงปู่สีหากผู้ใดได้ไว้แล้ว พกพาติดตัวไปก็จะเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้..”
…ข้าพเจ้าได้เล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า “กิตติศัพท์ของหลวงปู่สีดังกล่าว เมื่อได้รับฟังมาผมก็มิได้สนใจนัก จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นที่ในป่าหลังกองร้อยทหารสารวัตร (ในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารสารวัตร และเป็นนายทหารรักษาความปลอดภัยกองบิน ๔ ด้วย) ผมจึงชวนเรืออากาศโทสังวร สมหวัง รองผู้บังคับกองร้อย ฯ และเรืออากาศตรีครรชิต บัวอำไพ นายทหารสารวัตรซึ่งได้นั่งปรึกษางานอยู่กับผมลงไปดู ก็เห็นจ่าอากาศสารวัตร ๒ คน คนหนึ่งกำลังถือปืนตั้งท่าจะยิงไก่นัดต่อไป อีกคนหนึ่งยืนดู จึงตะโกนสั่งให้หยุดยิงและสอบถามว่าทำไมจึงขัดคำสั่งผู้บังคับกองร้อย ฯ
(ข้าพเจ้าได้เคยสั่งให้ยิงปืนได้เฉพาะในสถานที่ที่จัดไว้ให้ยิงและยิงได้เฉพาะวัน เวลาที่ทางกองร้อย ฯ กำหนด) ซึ่งทั้ง ๒ คน ก็ยอมรับผิดและอธิบายสาเหตุให้ฟังว่าจ่าประสิทธิ์ ไปได้ชานหมากจากหลวงปู่สีมา เล่าให้จ่าชิตฟังถึงอภินิหารต่าง ๆ จ่าชิตได้ฟังก็ไม่เชื่อก็เกิดพนันกันขึ้น โดยจ่าประสิทธิ์ไปขอซื้อไก่ในกองบิน ๔ มา แล้วให้จ่าชิตยิง หากจ่าชิตยิงไก่ตาย จ่าชิตก็ได้ไก่ไป แต่ถ้าหากจ่าชิตยิงไก่ไม่ตายก็ต้องจ่ายเงินให้จ่าประสิทธิ์ แล้วให้จ่าประสิทธิ์เอาไก่ไป
…การยิงสัญญากันไว้ว่าจะยิง ๖ นัด ขณะนี้จ่าชิตยิงไปแล้ว ๓ นัด ยังไม่ถูกไก่ และยังมีสิทธิ์ยิงได้อีก ๓ นัด ผมจึงให้เรืออากาศโทสังวร และเรืออากาศตรีครรชิต ซึ่งเป็นมือปืน P.P.C. เหรียญเงินทั้ง ๒ คน ยิงไก่คนละนัดก็ไม่ถูกอีก ผมจึงให้คนโทรศัพท์ไปเรียก พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข มือปืน P.P.C. เหรียญทองมายิงในนัดสุดท้ายซึ่งก็ไม่ถูกไก่อีก (ในตอนนั้น พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข โมโหมากขอให้เอาเหรียญบาทไปตั้งที่ตอไม้ ๓ เหรียญ ก็ยิงถูกเหรียญกระเด็นไปทั้ง ๓ เหรียญ แต่ยิงไก่ตัวใหญ่โตซึ่งมัดติดกับต้นไม้ไม่ถูก)
…ผมจึงให้จ่าประสิทธิ์พาไปหาหลวงปู่สีในวันนั้น และพอไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็กล่าวตำหนิว่าพวกผมทำให้ปากท่านเจ็บไปหมด เพราะชานหมากไปผูกติดคอไก่ ท่านก็จะต้องคุ้มครองให้ไก่ และเมื่อเอาปืนไปยิงไก่ ลูกปืนมันไม่ไปถูกไก่แต่มันมาถูกปากท่านทุกนัด ผมและพรรคพวกที่ไปจึงต้องกราบขอขมาหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตามอบชานหมากมาให้แต่ขอสัจจะว่า อย่าได้นำชานหมากของท่านไปทดลองที่ไหนอีก…
…หลวงพ่อได้นั่งฟังข้าพเจ้า เล่าถึงหลวงปู่สีด้วยความสงบ พอข้าพเจ้าเล่าจบหลวงพ่อก็พูดว่า
“..คุณมนูญ ฉันบอกหลวงปู่สีเมื่อตะกี้นี้แล้วว่า ฉันจะไปหา หลวงปู่ดีใจมาก จะคอยต้อนรับอยู่ที่กุฏิ ไป เราไปกันได้เลย..”
…ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช ได้ฟังก็งงมาก เพราะหลวงพ่อก็นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ลุกไปโทรศัพท์ และโทรศัพท์ที่กุฏิหลวงปู่สีก็ไม่มี หลวงพ่อจะบอกกับหลวงปู่สีได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นเจตจำนงของหลวงพ่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จำต้องขับรถพาหลวงพ่อไป…เมื่อไปถึงกุฏิหลวงปู่สี (ตั้งอยู่หน้าถ้ำวัดเขาบุญนาค) ข้าพเจ้าก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลวงปู่สีซึ่งตามปกติท่านจะนุ่งสงบอยู่ตัวเดียว บัดนี้ท่านแต่งชุดใหญ่ครบเครื่องเยี่ยงพระภิกษุสงฆ์ที่พร้อมจะเข้าพิธีในโบสถ์ มีเสื่ออย่างดีปูไว้เรียบร้อย พร้อมด้วยชุดน้ำชาและหมากพลู อีกทั้งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดอีก ๒-๓ รูป รวมทั้งเจ้าอาวาสมานั่งคอยรอรับหลวงพ่ออยู่พร้อมหน้า…
…ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยอยู่กับหลวงปู่สี ข้าพเจ้าก็ได้แอบไปสอบถามท่านมหาองค์หนึ่ง ซึ่งใกล้ชิดกับหลวงปู่สีว่า “หลวงปู่สีทราบได้อย่างไร ว่าหลวงพ่อจะมา” ท่านมหาองค์นั้นก็ตอบว่า “อาตมาก็ไม่ทราบ เห็นหลวงปู่นอนจำวัดอยู่ตามปกติ จู่ ๆ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วสั่งให้อาตมาคุมกวาดลานวัดและเช็ดกุฏิแล้วให้เตรียมน้ำชา หมากพลูโดยเร่งด่วน ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีพระผู้ใหญ่ระดับสูงมากมาหา พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เข้าไปนุ่งห่มจีวรใหม่เอี่ยม รอหลวงพ่อดังที่โยมเห็นนี้แหละ…
…เรื่องที่ข้าพเจ้าและพรรคพวกได้ประสบในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดจะพิสูจน์หรือหาเหตุผลใด ๆ ได้เลย นอกจากจะคิดกันไปว่า หลวงพ่อได้นัดพบกับหลวงปู่สีทางจิตเท่านั้น หรือท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่าอย่างไร? …
…หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี ฯ…
……..เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับไปบ้านที่กองบิน ๔ ตาคลี นครสวรรค์ทุกครั้ง และก็ได้ไปแวะเยี่ยม หลวงปู่สี ฯ ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอ ๆ
…ในบางครั้งที่ไปก็เจอ คุณหมอโอ๊ค ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน ๔ (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขอภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่ หมอโอ๊ค จนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่ และด้วยเหตุนี้ จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตาม หาก หลวงปู่สี ฯ ไม่ยอมให้หมอฉีดยาแต่หมอก็จะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมอโอ๊ค เองก็หนักใจเพราะไม่สามารถจะรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์ และครั้นเมื่อ หลวงปู่สี ฯ มีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาส ฯ ก็คลานเข้าไปสอบถามว่า
“..หาก หลวงปู่สี ฯ มรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่อย่างไร?..”
ซึ่ง หลวงปู่สี ฯ ก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า
“..หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง..”
…ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่า หลวงปู่สี ฯ ได้มรณภาพ เมื่อเวลาประมาณตีสาม และหลวงพ่อ ฯ ก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น (ข้าพเจ้าต้องขอภัยอีกครั้ง ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้) และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพ หลวงปู่สี ฯ ไว้ในโลงแก้ว ในสภาพเสมือนหนึ่ง หลวงปู่สี ฯ นอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้…
…และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือ ร่างของ หลวงปู่สี ฯ ไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุกๆ 15 วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือเล็บเท้าให้ หลวงปู่สี ฯ ตลอดมา…
…หลวงปู่สี ฯ ได้มรณภาพเมื่ออายุ ๑๒๘ ปี บัดนี้ศพของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หากท่านผู้ใดสนใจที่จะไปนมัสการกราบไหว้ก็ไปได้ตลอดเวลา เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้ง หลวงปู่สี ฯ และหลวงพ่อ ฯ จะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่ ฯ สิ้นลม หลวงพ่อ ฯ ก็รับทราบและเดินทางมาจัดการให้ได้ในทันที… -
๑. พระบูชา พระบูชา บูรพาจารย์ พระบูชาบูรพาจารย์-โชว์
พระบูชา7นิ้ว หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระอาจารย์องค์แรกของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ที่สอนกรรมฐาน สอนวิชาความรู้ทุกอย่างให้หลวงปู่ปาน ซึ่งวิชาความรู้เหล่านี้…หลวงปู่ปานท่านก็ได้ถ่ายทอดมายังหลวงพ่ออีกที ซึ่งถือว่าหลวงพ่อสุ่นเป็นบูรพาจารย์ของหลวงพ่อด้วย
******************************************************
หลวงพ่อสุ่น เป็นพระวิปัสสนากรรมฐานผู้ทรงอภิญญา มีวิชาอาคมไสยเวทย์เปี่ยมล้น นอกจากนี้ยังเป็นพระหมอรักษาไข้ ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่สาธุชนทั่วไปอีกด้วย ปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุ่น ที่ปรากฏและเล่าสืบต่อกันมามีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน หลวงพ่อได้บันทึกไว้ว่า “หลวงพ่อสุ่นเป็นพระอุปัชฌาย์หลวงพ่อปาน ครั้นหลวงพ่อปานบวชแล้วก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อสุ่น ที่วัดบางปลาหมอ เพื่อศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆจากพระอาจารย์ ซึ่งหลวงพ่อสุ่นเองก็รักใคร่ในตัวของหลวงพ่อปาน ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้” หลวงพ่อปานนั้นมีความรักอยากจะเรียนทางหมอรักษาคนไข้ แต่หลวงพ่อสุ่นอยากให้ศิษย์รักรับวิชาอาคมต่างๆเอาไว้ด้วย ดังนั้นการเรียนการสอนจึงมีทั้งไสยเวทย์และทางหมอยาควบคู่กันไปด้วย
หลวงพ่อสุ่นท่านสำเร็จทางด้านกสิณ ท่านก็ให้หลวงพ่อปานเรียนกสิณให้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งหลวงพ่อปานท่านก็ตั้งใจมานะศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ จากพระอาจารย์จนสำเร็จอภิญญาได้กสิณต่างๆจนครบ ทั้งวิปัสสนากรรมฐานท่านก็ได้มา การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานใหม่ๆนั้น หลวงพ่อสุ่นท่านได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ไว้ให้ปรากฏหลายอย่างเช่น วันหนึ่งหลวงพ่อสุ่นท่านให้หลวงพ่อปานรดน้ำมนต์ให้คนไข้ หลวงพ่อปานเห็นน้ำมนต์ในตุ่มเหลือน้อยแล้ว ก็จะไปตักน้ำมาทำน้ำมนต์เพิ่มอีก หลวงพ่อสุ่ท่านก็ห้ามไว้ท่านบอกว่า “ไม่ต้องไปตักหรอกปานเอ๊ย พ่อตักไว้ให้แล้วรดไปเถอะ”
หลวงพ่อปานตักน้ำมนต์ในตุ่มรดคนไข้ ซึ่งหลวงพ่อปานเองมาเล่าให้ฟังภายหลังว่า วันนั้นรดน้ำมนต์ให้กับคนไข้ประมาณ 50 คน น้ำในตุ่มยังยุบไม่ถึงคืบ ตุ่มนั้นก็เป็นตุ่มเล็กๆ พอตอนหลังท่านไปถามหลวงพ่อสุ่นก็ได้รับคำ ตอบว่า “พ่อเอาใจตักแล้ว” จากนั้นท่านก็สอนวิชาใช้คาถาตักน้ำให้หลวงพ่อปาน ก็คือวิชาอาโปกสิณนั่นเอง
หลวงพ่อสุ่นเป็นพระที่มีวิชาอาคมสูงมาก ท่านจะตรวจดูด้วยญาณทิพย์ของท่านเสมอ ก่อนที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แล้วก็รักษาตามโรคนั้น ผู้ป่วยที่มาให้หลวงพ่อรักษาจะหายกลับไปทุกราย ยกเว้นผู้นั้นไปไม่ไหวถึงฆาตจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ ในเรื่องของอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้น ท่านมักจะไม่ทำให้ผู้ใดเห็นเกรงว่าจะกลายเป็นพระผู้อวดคุณวิเศษไป นอกจากหลวงพ่อปานที่ขณะเรียนวิชาอยู่กับท่านเท่านั้น หลวงพ่อสุ่นอยู่วัดท่านก็ทำนุบำรุงซ่อมแซมเสนาสนะต่างๆ ไปเรื่อยๆ ต่อเติมสิ่งที่ชำรุดไปทีละอย่างสองอย่างตลอด
-
๑. พระบูชา พระบูชา พระพุทธ พระยอดนิยม
พระบูชา9นิ้ว พระมงคลบพิตร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง
พระบูชาพระมงคลบพิตร สร้างเนื่องในงานฉลองสมณศักดิ์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ รับตำแหน่ง “พระสุธรรมยานเถระ” เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ องค์พระสร้างด้วยกะไหล่ทองทั้งองค์ มีทั้งขนาด 9นิ้ว และ 5นิ้ว (ขนาด 9นิ้ว องค์พระแยกเป็น 2ชิ้น ถอดองค์พระออกจากฐานได้) เป็นพระบูชาที่หายากมากๆอีกองค์หนึ่งของวัดท่าซุง
-
๑. พระบูชา พระบูชา หลวงปู่ปาน - หลวงพ่อ พระบูชาหลวงปู่ปาน - หลวงพ่อ-โชว์
พระบูชา9นิ้ว หลวงปู่ปาน ครบรอบ๑๐๐ปีเกิด รุ่นแรก ปี18 (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ปลุกเสก)
ถือว่าเป็นพระบูชาในฝันของลูกหลานพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ก็ว่าได้ จะเป็นพระบูชาที่หายากมากๆ สร้างจำนวนน้อย องค์พระเป็นเนื้อโลหะผิวรมดำ ใต้ฐานจะมีอุดทั้งที่เป็นแบบ ดินไทย และดินฝรั่ง (กลวง)
เป็นพระบูชารูปเหมือนหลวงปู่ปานอันดับหนึ่งของวัดท่าซุง จัดสร้างเป็นรุ่นแรก เมื่อปี๒๕๑๘ เท่าที่เห็นมา ลายมือจารที่สลักที่ฐานด้านหน้า พบเห็นอยู่ 2รายมือ สลักหน้าเขียนว่า
ครบรอบ๑๐๐ปี หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
พ.ศ.๒๕๑๘ -
๑. พระบูชา พระบูชา พิมพ์อื่นๆ พระบูชาพิมพ์อื่นๆ-โชว์
พระบูชายืน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า (เททองโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
พระบูชายืนหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า รุ่นนี้สร้างออกในนามวัดท่าซุงโดยตรง สร้างพร้อมรูปเหมือนบูชายืนเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร เมื่อปี23 โดยสร้างตามจำนวนที่สั่งจองเท่านั้น โดยพระทุกองค์จะตอกหมายเลขกำกับพร้อมสลักชื่อ-นามสกุล ผู้สั่งจองที่ฐานองค์พระด้วย ถือเป็นพระบูชาที่หายากอีกรุ่นหนึ่งในสายวัดท่าซุง
ที่ฐานด้านหน้าเขียนว่า
หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
พระอาจารย์ของเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร
เททองโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำส่วนที่ฐานด้านหลังเขียนว่า
(…สลัก ชื่อ-นามสกุล…ผู้สั่งจอง)
๑๔ เมษายน ๒๕๒๓
(….หมายเลของค์พระ…) -
๑. พระบูชา พระบูชา พิมพ์อื่นๆ พระยอดนิยม
พระเจ้าพรหมมหาราช ทรงช้างพลายประกายแก้ว (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง
จัดสร้างโดยคุณจีระศักดิ์ พูนผล เพื่อหาทุนทรัพย์ในการจัดสร้างอนุเสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างพลายประกายแก้ว ประจำ ณ วัดท่าซุง โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 9 แสนบาท และหลวงพ่อได้เมตตาเพิ่มเติมด้วยการสั่งให้ปิดทองคำแท้ทั้งองค์อีกเป็นจำนวน 250,000 บาท
พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาเททองหล่อเมื่อ วันมาฆบูชา ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ สร้างประมาณ 300องค์เศษ ขนาดฐาน 8 x 4 1/2นิ้ว ฐานสูง 1นิ้ว ความสูงทั้งสิ้น 12นิ้ว ที่ฐานด้านหน้ามีหมายเลขประจำองค์ ส่วนที่ฐานข้างหนึ่งเขียนว่า “เททองโดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วันมาฆบูชาที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ” และอีกข้างหนึ่งเขียนว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช ช้างประกายแก้ว กู้ชาติไทยครั้งแรกสมัยโยนก”
จัดสร้างด้วยกัน 4เนื้อ คือ
1) เนื้อชุบกะไหล่ทอง
2) เนื้อชุบกะไหล่เงิน
3) เนื้อชุบกะไหล่นาก
4) เนื้อโลหะรมดำ / เนื้อโลหะไม่รมดำ (ผิวทองแดง)ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2527 หลวงพ่อจึงได้ทำพิธีบวงสรวงและเปิดอนุเสาวรีย์องค์พระเจ้าพรหมมหาราช เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2527 และในปัจจุบัน…ทางวัดจะจัดงานฉลองชัยชนะของพระเจ้าพรหมมหาราช ณ อนุเสาวรีย์ เป็นประจำทุกๆปีในวันก่อนหน้าวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน โดยจะมีการบวงสรวงและเวียนเทียนรอบอนุเสาวรีย์ อีกทั้งมีการฟ้อนรำถวายองค์พระเจ้าพรหมมหาราช เพื่อเป็นการระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย
พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เล่าถึงอานุภาพไว้ว่า
:- ช้างถนัดในทางปราบอมิตร พระเจ้าพรหมมหาปราบและมหาเสน่ห์ พระนางปทุมวดี (ยังไม่มีรูปปั้นที่วัด) ถนัดในทางลาภ
:- ถ้าจะบนช้างต้องเอาเลือดสดทาปาก แต่ท่านให้ใช้อาหาร ที่มีเลือดหมูต้มรวมอยู่ด้วยถวายพระแทน
:- ส่วนถ้าจะบนพระเจ้าพรหม ให้ใช้ผ้าเหลืองถวายพระ และถ้าบนพระนางปทุมวดี ให้ใช้ดอกไม้ 3สี บูชาพระถวายสังฆทาน****************************************************
สำหรับองค์บูชาพระเจ้าพรหมมหาราชทรงช้างประกายแก้ว ในสมัยหลวงพ่อนั้น ท่านตั้งราคาให้ร่วมทำบุญ ดังนี้
1. เนื้อโลหะชุบทอง ทำบุญองค์ละ 3,000 บาท
2. เนื้อโลหะชุบนาก ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
3. เนื้อโลหะชุบเงิน ทำบุญองค์ละ 2,500 บาท
4. เนื้อโลหะรมดำ ทำบุญองค์ละ 1,500 บาท*********************************************************
ประวัติ พระเจ้าพรหม มหาราชองค์แรกของไทย
หากมีการตั้งคำถามว่า กษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ไทยยกย่องว่าเป็น “มหาราช” องค์แรกของไทย คือ พระองค์ใด หลายคนคงนึกถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บางคนอาจจะนึกถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือบางคนอาจนึกไปได้ไกลถึงพระเจ้ามังรายมหาราช เพราะแต่ละพระองค์ล้วนแต่ครองราชย์ในช่วงหลายร้อยปีก่อนหน้าโน้น และมีพระนามเป็นที่คุ้นหูอย่างดี แต่ความเป็นจริง พระมหากษัตริย์ไทยเราที่ทรงเป็นมหาราชองค์แรก ก็คือ “พระเจ้าพรหมมหาราช” ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานย่ำยีของพวกขอม เมื่อประมาณ ๑,๐๖๔ ปีล่วงมาแล้ว ในสมัยอาณาจักรโยนกหรืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของเวลา แต่ละตำราจะเขียนไว้ไม่เหมือนกัน ในที่นี้จะขอยึดข้อมูลจากหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ซึ่งเอา “ตำนานสิงหนวัติฉบับสอบค้น” มาเป็นหลักอ้างอิง กล่าวคือย้อนไปเมื่อ พ.ศ.๑๔๖๐ ในรัชสมัยของ พระเจ้าพังคะ หรือ พระองค์ฬั่ง กษัตริย์องค์ที่ ๔๓ แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ ได้ถูกพวกขอมขับไล่จากเมืองโยนกพันธุ์ไปอยู่เมืองเวียงสี่ตวง ใกล้แม่น้ำสาย จนกระทั่ง ๔ ปีต่อมา หรือเมื่อ พ.ศ. ๑๔๖๔ มเหสีของพระองค์ไปประสูติโอรสคนที่ ๒ มีการขนานนามว่า “พระเจ้าพรหมกุมาร”
ในตำนานได้กล่าวถึงประวัติตอนปฐมวัยของ “พระเจ้าพรหมกุมาร” เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อพระองค์มีพระชันษาได้๗ ปี ก็สามารถเล่าเรียนวิชาเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม จนจบครบถ้วนกระบวนความ หรือเมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ ๑๓ ปี ได้ทรงสุบินว่า มีเทพยดามาบอกว่า จะมีช้าง ๓ ตัวล่องน้ำโขงมา และให้เจ้าพรหมกุมารไปล้างหน้าที่นั่น หากจับช้างตัวแรกได้จะมีอานุภาพปราบได้ทั้ง ๔ ทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๒ จะมีอานุภาพได้ชมภูทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ ๓ จะปราบแว่นแคว้นล้านนาได้
พอรุ่งเช้า เจ้าพรหมกุมารจึงได้พาบริวารประมาณ ๕๐ คน ไปยังท่าน้ำ ครั้งแรกเห็นงูเหลือมเลื่อมเป็นมันระยับลอยผ่านไปแล้ว ๑ ตัว พอตัวที่ ๒ ก็เป็นงูอีกเหมือนกัน พอตัวที่ ๓ เจ้าพรหมกุมารจึงทรงนึกถึงเรื่องในสุบินนั้นคงเป็นงูนี่เอง จึงพร้อมกับบริวารช่วยกันจับงู เมื่อเจ้าพรหมกุมารสามารถขึ้นขี่ งูก็กลายเป็นช้างไปทันที แต่ไม่ยอมขึ้นฝั่ง จนกระทั่งบริวารต้องเอาพานทองคำตีล่อ ช้างจึงยอมขึ้นจากน้ำ และมีการเรียกชื่อว่า “ช้างพานทองคำ”พระเจ้าพรหม ทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสามารถและโปรดในการสงคราม เมื่อสามารถเตรียมกำลังไพร่พลได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ทูลพระบิดาให้เลิกการส่งส่วยแก่ขอม พวกขอมจึงยกทัพขึ้นไปปราบ พระเจ้าพรหมก็คุมกำลังออกต่อสู้และขับไล่พวกขอมจนแตกพ่าย สามารถยึดเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติคืนได้เมื่อ พ.ศ.๑๔๗๙ ในขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้เพียง ๑๖ ปีเท่านั้น
สำหรับช้างพานทองคำ เมื่อเสร็จสงครามก็ได้หายไปทางดอยลูกหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ดอยช้างงู” แต่ชาวเขาเผ่าอีก้อออกเสียงไม่ชัดเจน เรียกว่า “ดอยสะโง้” และได้เรียกเพี้ยนมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนพระเจ้าพรหม เมื่อได้อัญเชิญพระบิดามาครองเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโยนกชัยบุรีแล้ว พระองค์ก็นำทัพไปขับไล่ขอมจนถึงเมืองกำแพงเพชร จนหมดเชื้อชาติขอมในอาณาจักรโยนกแล้วจากนั้นพระองค์ก็ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองอุมงคลเสลาเก่า เมื่อ พ.ศ. ๑๔๘๐ เพื่อเป็นด่านหน้าคอยป้องกันพวกขอมยกทัพกลับมาตีอีก และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น “เมืองไชยปราการ” ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง
พระองค์ได้ครองเมืองไชยปราการได้ ๕๙ ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๑๕๔๐ ต่อมาได้มีการขนานนามพระองค์ว่า “พระเจ้าพรหมมหาราช” นับเป็นมหาราชองค์แรกของชาติไทย
-
๑. พระบูชา พระบูชา พิมพ์อื่นๆ พระบูชาพิมพ์อื่นๆ-โชว์
รูปเหมือนบูชายืน เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร (เททองโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
รูปเหมือนบูชายืนเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร รุ่นนี้สร้างออกในนามวัดท่าซุงโดยตรง สร้างพร้อมพระบูชายืนหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เมื่อปี23 โดยสร้างตามจำนวนที่สั่งจองเท่านั้น โดยพระทุกองค์จะตอกหมายเลขกำกับพร้อมสลักชื่อ-นามสกุล ผู้สั่งจองที่ฐานองค์พระด้วย ถือเป็นพระบูชาที่หายากอีกรุ่นหนึ่งในสายวัดท่าซุง
ที่ฐานด้านหน้า เป็นรูปสมอเรือ (ตราสัญลักษณ์ของกองทัพเรือ)
ที่ฐานด้านหลังเขียนว่า
เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร
เททองโดย
หลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ฐานด้านขวาเขียนว่า
(…สลัก ชื่อ-นามสกุล…ผู้สั่งจอง)
ส่วนที่ฐานด้านซ้ายเขียนว่า
(….หมายเลของค์พระ…)
๑๔ เมษายน ๒๕๒๓ -
๑. พระบูชา พระบูชา พิมพ์อื่นๆ พระบูชาพิมพ์อื่นๆ-โชว์
องค์บูชายืน ท่านท้าวจตุมหาราช (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง
ท่านท้าวจตุมหาราช ทั้ง4พระองค์นั้น ท่านเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งท่านประจำอยู่ที่ทิศทั้งสี่ อันประกอบไปด้วย
๑. ท้าวมหาราชทิศตะวันออก ท้าวธตรฐ ถือพระขรรค์เป็นอาวุธ พร้อมด้วยคนธรรพ์เป็นบริวาร
๒. ท้าวมหาราชทิศใต้ ท้าววิรุฬหก ถือไม้พองเป็นอาวุธ พร้อมด้วยกุมภัณฑ์เป็นบริวาร
๓. ท้าวมหาราชทิศตะวันตก ท้าววิรูปักษ์ ถือกงจักรเป็นอาวุธ พร้อมด้วยนาคเป็นบริวาร
๔. ท้าวมหาราชทิศเหนือ ท้าวเวสสุวัณ ถือกระบองเป็นอาวุธ พร้อมด้วยยักษ์เป็นบริวารชุด4องค์นี้ คุณวีระ งามขำ หรือที่รู้จักกันในนาม “ลุงยกทรง” เป็นผู้สร้างถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ประมาณ 100ชุด ตามประวัติ..ชุดนี้น่าจะเป็นท่านท้าวมหาราชทั้ง4 ที่สร้างขึ้นมาเป็นรุ่นแรก และเป็นเพียงรุ่นเดียวที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษกจากหลวงพ่อ