องค์บูชา พระพินิจอักษร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

องค์บูชารูปเหมือนพระพินิจอักษร จัดสร้างและเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุง สร้างด้วยเนื้อปูนพลาสเตอร์พ่นสีทอง ค่อนข้างจะหาชมได้ยาก

************************************************************************************************************

คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ…แล้วไปไหน

พระพินิจอักษร มีนามว่า “ทองดี” เป็นสมเด็จพระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ ทรงประสูติในเรือฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์เก่าวัดท่าซุง ในฐานะที่พระองค์เป็นทั้งชาวสุโขทัยและก็ชาวกรุงศรีอยุธยา และก็ยังเป็นชาวเชียงแสนด้วย ท่านเป็นคนของแผ่นดิน เพราะว่าท่านสืบเชื้อสายมาจากเชียงแสน ชาวเชียงแสนมาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย ต่อมาพระราชโอรสของพระองค์ได้เป็นใหญ่ในกรุงเทพฯ เป็นอันว่าวงศ์นี้เป็นวงศ์ที่มีคุณต่อประเทศชาติอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นแม่ทัพในการกู้ชาติ ที่มีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นหัวหน้า ต่อมาเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เถลิงราชสมบัติเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เป็นกำลังใหญ่ในการปราบปรามข้าศึก ต่อมาในสมัยพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ก็ทรงปราบปรามข้าศึก รักษาเอกราชให้ชาติไทยอยู่รอดเป็นอิสระจนกระทั่งทุกวันนี้ เวลานี้วงศ์ของท่านทองดีก็ยังครองประเทศชาติอยู่ ท่านพระพินิจอักษรท่านเป็นครูและท่านเป็นหมอด้วย สมัยก่อนคนเป็นหมอง่าย เรียกว่า “หมอยาป่า” หรือ “หมอโบราณ” ท่านมีความรู้ทางหมออยู่บ้างตามสมควร เรื่องความเป็นหมอคนโบราณถือว่ามีความสำคัญ

คืนวันหนึ่งของปี ๒๕๑๕ เวลาประมาณ ๒๓.๐๐น.เศษ อาตมารู้สึกง่วงนอนเร็วกว่าปกติ จึงเอนกายลงนอน ได้เห็นชายคนหนึ่งรูปร่างขาวท้วม นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อธรรมดาแต่ยาวลงเลยชายพกประมาณ ๖ นิ้วฟุต มือขวาถือหนังสือเล่มใหญ่แนบกับตัว เห็นภาพนั้นเมื่อดับไฟมืดสนิทและไม่มีแสงสว่างจากภายนอกลอดเข้ามา ก็ทราบว่าชายที่เห็นนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เพราะประตูใส่กลอนแล้ว หน้าต่างก็มีลูกกรงเหล็ก ตามความรู้สึกขณะนั้นบอกว่า “ชายผู้นี้คือผี” ชายที่ยืนให้เห็นนั้นท่าทางท่านสุภาพมากยืนเฉยๆ ไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่เวลานั้นกำลังง่วงจัดอยากจะหลับท่าเดียว จึงคิดว่ามีธุระอะไรพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันใหม่ แต่ต้องมาก่อนง่วงนอน พอวันรุ่งขึ้นเข้านอนก่อนเวลาเพราะเกรงว่าจะง่วงและอาจผิดสัญญากับผีได้ เวลา ๒๒.๐๐ น. ก็เข้าห้องบูชาพระตามปกติ

เมื่อบูชาพระเสร็จก็เข้านอน พอหลังถึงพื้นศีรษะถึงหมอน ก็ปรากฏภาพชายคนเมื่อวานที่ผ่านมา มายืนอยู่ข้างปลายเตียงทางด้านขวา จึงถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านก็ตอบว่า “ผมคือทองดีครับ” ถามท่านอีกว่า “ทองดีคือใคร” ท่านตอบว่า “ทองดีพ่อทองด้วงครับ” เมื่อท่านตอบแล้วก็คิดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองเป็นผู้มีคุณใหญ่ต่อประเทศ และอาตมาก็ยังสำนึกในบุญคุณของท่านที่ท่านเมตตาเสียสละให้ไทยได้เป็นไทอยู่จนทุกวันนี้ ท่านจะมาแสดงตนให้เห็น จึงได้ถามท่านต่อไปว่า “ทองด้วงคือใคร” ท่านตอบว่า “ทองด้วง คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ถามท่านว่า “ที่ท่านมานี้ท่านมีความประสงค์อะไร” ท่านบอกว่า “ผมเป็นครูครับ เมื่อท่านสร้างวัดเสร็จแล้วช่วยสร้างโรงเรียนให้ผมสักหลังหนึ่ง” ก็รับปากท่านว่าถ้าไม่เกินกำลังเต็มใจสร้างให้ท่าน

ท่านเล่าให้ฟังอีกว่า เดิมทีเดียวท่านเป็นข้าราชการที่กรุงศรีอยุธยาได้รับบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้าย ที่พระอักษรสุนทร ต่อมาเมื่อพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา ท่านพาภรรยาและบุตรคนเล็กอายุ ๗ ปีขึ้นไปพิษณุโลก ไปอยู่กับเจ้าเรืองพระฝาง (พระยาพิษณุโลก) ท่านตั้งให้เป็นพระพินิจอักษร เพราะให้ท่านเป็นครูสอนหนังสือ (หนังสือราชการ) กับพวกขุนนาง เวลาล่วงมาประมาณปีเศษ อาศัยที่คุณพระพินิจอักษรเป็นคนฉลาด มีความสามารถมาก ต่อมาขั้นสุดท้ายท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ แต่ไม่มีใครสนใจในบรรดาศักดิ์นี้ ที่สนใจจริงๆ ก็คือ คุณพระอักษรสุนทร เป็นบรรดาศักดิ์ที่ทางกรุงศรีอยุธยาตั้งให้ ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของท่านจึงมีชื่อเพียง พระอักษรสุนทร ท่านบอกว่า “ผมเกิดที่แม่น้ำสะแกตรัง (ชาวบ้านเรียกสะแกกรัง) เกิดในเรือครับ เรือที่ผมคลอดจากครรภ์มารดาอยู่ตรงนี้ครับ” ท่านชี้สถานที่เรือจอดให้ทราบ

เป็นธรรมดาของอาตมาเมื่อคุยกับผี จะเป็นผีระดับไหนก็ตาม ผีมีหลายระดับคือ นรก เปรต อสุรกาย สัมภเวสี ภูมิเทวดา อากาศเทวดา พรหม ทั้งหมดนี้เรายกยอดเรียกผีเหมือนกันหมด เพราะไม่สามารถเห็นเขาได้ตามปกติ เมื่อเขาต้องการให้เห็นเราจึงเห็น เมื่อท่านจะกลับจึงได้ถามว่า “ท่านมาขอร้องตามนี้ก็ไม่ขัดข้อง แต่อยากจะขอเหตุผลสักหน่อยว่า ถ้าท่านเป็นท่านทองดีจริง ท่านจะบอกหรือแสดงอะไรสักอย่างหนึ่งก็ได้เพื่อเป็นหลักฐานควรเชื่อถือได้” ท่านถามว่า “ไม่ไว้ใจท่านหรือ” ก็เรียนท่านว่า “ไว้ใจ แต่ขอไว้เพื่อความมั่นใจ” ท่านก็บอกว่า “วันพรุ่งนี้ทางบ้านโน้นเขาจะรื้อบ้าน (ท่านชี้ไปทางที่ท่านบอกว่าบ้านท่านเคยตั้งที่นั่น) เขาจะรื้อบ้านเขาจะได้เงินกลม ถ้าเขาได้เงินกลมจริงก็เป็นการยอมรับว่าผมคือ “ทองดี” จริง กับอีกเรื่องหนึ่งก็คือต่อจากนี้ไปไม่เกิน ๑ เดือน ทองคำที่ตระกูลผมฝังไว้ใกล้พระอุโบสถจะเลื่อนเข้ามาใต้ถุนที่คุณอยู่ จะมีเสียงดังจากทองที่เลื่อนมาไว้ชัดเจนมาก ถ้ามีเสียงทองเลื่อนจริงก็เป็นเครื่องยอมรับว่าผมคือ “ทองดี” จริง”

พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนนำเงินกลมมาให้ ๑๐ กว่าอัน ผู้ให้บอกว่า เจ้าของบ้านเขารื้อบ้าน ขุดดินลงไปเพื่อเอาเสาเรือนขึ้น เมื่อนำเสาขึ้นมาแล้วพบเงินกลมหนึ่งไห เจ้าของให้นำมาถวาย ต่อมาอีกไม่ถึงครึ่งเดือน คืนวันนั้นมีคนมาร่วมเจริญพระกรรมฐานกันมาก ขณะที่ทุกคนกำลังเจริญพระกรรมฐานก็ได้ยินเสียงครืนใต้ดิน ได้ยินชัดมาก เสียงนั้นเลื่อนใกล้เข้ามาพอถึงกลางตึกเสียงก็เงียบ เมื่อเลิกพระกรรมฐานแล้วต่างคนต่างก็ไปดูสถานที่ที่มีเสียง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ รุ่งเช้า นายดาบตระกูล เปาริก ออกไปดูบริเวณนั้นเห็นดินยุบลงนิดหน่อยแต่เป็นบริเวณกว้าง ได้เอาเหล็กแทงลงไปปรากฏว่าจมเส้นเหล็กแล้วยังไม่ถึงกันหลุม ทั้งหมดนี้จัดเป็นอภินิหารของท่านได้

ต่อมาตั้งใจจะสร้างโรงเรียนให้ตามที่ท่านขอไว้ ได้ติดต่อทางผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดสมัยนั้น เรื่องก็เงียบหายไป เมื่อหาทางสร้างโรงเรียนไม่ได้จึงสร้างศาลาการเปรียญแทนให้ชื่อว่า “โรงเรียนพระพินิจอักษร” ทั้งนี้ก็เพราะว่าศาลาก็คือโรงเรียน คำว่า “เปรียญ” แปลว่า “รู้รอบ” หรือรู้ทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าโรงเรียน ซึ่งสอนเฉพาะความรู้ปกติธรรมดา จึงมีความเห็นว่าศาลาการเปรียญมีความสำคัญมาก หลังจากนั้นได้สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กขึ้น จึงคิดจะสร้างรูปท่านไว้เป็นอนุสรณ์ ในฐานะที่ท่านเมตตามาหาถึงสถานที่นอน และถ้าชาวบ้านถามก็จะได้บอกว่า “ปั้นรูปต้นวงศ์จักรี เพราะว่าถ้าเรามีความเลื่อมใส มีความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๙ เราไหว้ต้นวงศ์จักรีองค์เดียวก็ถึงลูกหลานเหลนทั้งหมด”

เวลาที่จะปั้นรูปท่าน รูปตัวอย่างไม่มี ก่อนอื่นปั้นรูปเล็กก่อน โดย คุณยุพดี จักษุรักษ์ เป็นผู้ปั้นรูปเล็กด้วยดินเหนียวก่อน และช่างปั้นรูปใหญ่ชื่อ นายช่างประเสริฐ แก้วมณี จบชั้นประถมปีที่ ๔ อาตมาถามท่านว่า “เอาใครเป็นแบบฉบับที่คล้ายคลึง” ท่านก็บอกว่า “เอารูปรัชกาลที่ ๖ คล้ายคลึงมาก แต่ผมมากกว่านั้น เหลนผมคนนี้ผมน้อยไปหน่อย พุงโตกว่าผมนิดหนึ่ง” ท่านเป็นคนเนื้อเต็ม ปกติท่านไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม ท่านบอกว่า “ถ้าปั้นรูปใหญ่ท่านจะมาช่วย มีส่วนคล้ายคลึงประมาณสัก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ก็เป็นอันว่าใช้ได้” เพราะไม่มีรูปตัวอย่างให้ดู เมื่อปั้นรูปท่านเสร็จแล้วประดิษฐานไว้ที่หน้าโรงพยาบาลแม่และเด็ก ปรากฏว่า อภินิหารรูปของท่านก็คือ คนไข้ที่รักษาโรคมาจากที่อื่น มาแล้วไม่หายก็รักษาหายได้ ถ้าคนไข้คนไหนไปจุดธูปบูชาท่านขณะที่มารักษา คนไข้คนนั้นโรคจะหายเร็วมาก เป็นที่ยอมรับนับถือจากคนไข้เป็นอันมาก

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านมาเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปปราบพระฝางได้ เมื่อเจ้านายหมดวาสนาบารมี ท่านก็พาภรรยาและบุตรธิดาไปอยู่เมืองเล็กๆ ทางเหนือ อยู่อย่างคนแก่ชอบสงบ ไม่นานนักท่านก็มรณะเพราะไข้ ท่านบอกว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗